รายได้จากการเทรดหุ้น เสียภาษี: คู่มือนักลงทุนยุคใหม่สำหรับปี 2025

สารบัญ

ภาษีหุ้น: คู่มือนักลงทุนยุคใหม่ ทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ทั้งไทยและต่างประเทศ

ในโลกของการลงทุนที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การทำความเข้าใจเรื่องภาษีจากการเทรดหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนทุกคน เพราะภาระภาษีเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนสุทธิที่คุณจะได้รับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณพร้อมที่จะมาไขความกระจ่างในประเด็นภาษีที่ซับซ้อนนี้ไปพร้อมกับเราหรือยัง?

บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ภาษีหุ้นที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น ภาษีขายหุ้น ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในประเทศไทย หรือหลัก World Wide Income สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วเมื่อต้นปี 2567 เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการลงทุนได้อย่างมั่นใจ และพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เราเชื่อมั่นว่าการมี “ความรู้” คือ “เกราะป้องกัน” ที่ดีที่สุดในการลงทุนของคุณ

ดังนั้น เราจึงได้จัดทำตารางสรุปข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับภาษีหุ้นไว้ด้านล่างนี้:

ประเภทภาษี อัตรา รายละเอียด
ภาษีขายหุ้น 0.11% รวมภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% และภาษีท้องถิ่น 0.01%
เงินปันผล 10% ภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินปันผลในประเทศ
กำไรจากการขายหุ้นต่างประเทศ สูงสุด 35% ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า

“ภาษีขายหุ้น” ในประเทศไทย: ย้อนรอยอดีตและทิศทางในอนาคต

คุณทราบหรือไม่ว่า ในอดีต การขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเคยมีการจัดเก็บภาษีมาก่อน? เรื่องนี้ไม่ใช่แนวคิดใหม่เอี่ยมเสียทีเดียว การเรียกเก็บภาษีจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยนั้น มีประวัติย้อนกลับไปถึงปี 2525 ในรูปแบบของ เซลส์แท็กซ์ ซึ่งเก็บในอัตรา 0.1% ของมูลค่าการขาย และต่อมาในปี 2535 ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็น ภาษีธุรกิจเฉพาะ ในอัตราเดียวกัน แต่ก็ได้รับการยกเว้นภาษีนี้มาอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ หรือประมาณ 32 ปีแล้ว

แล้วทำไมภาครัฐถึงกลับมาพิจารณานำ ภาษีขายหุ้น หรือที่บางครั้งเรียกว่า Financial Transaction Tax (FTT) กลับมาจัดเก็บอีกครั้งในปัจจุบัน? สาเหตุหลักมาจากความพยายามของรัฐบาลที่จะ ลดความเหลื่อมล้ำ ในสังคม และ เพิ่มรายได้แผ่นดิน เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศและดูแลสวัสดิการสังคม หากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เราจะพบว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่ง เช่น มาเลเซีย หรือฮ่องกง ต่างก็มีการจัดเก็บภาษีลักษณะนี้อยู่แล้ว การนำกลับมาจัดเก็บจึงเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างภาษีให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากขึ้น คุณคิดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างไรบ้าง?

ภาพประกอบที่แสดงถึงกฎเกณฑ์ภาษีในการซื้อขายหุ้น

เจาะลึกอัตราและกลไกการจัดเก็บภาษีขายหุ้น: ใครจ่าย? ใครรอด?

หาก ภาษีขายหุ้น มีผลบังคับใช้จริง อัตราที่คาดการณ์ไว้คือ 0.11% ของมูลค่าการขายหุ้น ซึ่งประกอบด้วย ภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% และภาษีท้องถิ่นอีก 0.01% รวมเป็น 0.11% ที่จะถูกหักออกไปจากยอดขายหุ้นของคุณทุกครั้งที่ทำธุรกรรมขาย แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะในปีแรกของการบังคับใช้ ภาครัฐอาจมีส่วนลด 50% ทำให้เหลืออัตราที่ 0.055% เพื่อให้ผู้ลงทุนได้ปรับตัว

แล้วกลไกการจัดเก็บจะซับซ้อนหรือไม่? คำตอบคือไม่เลยครับ เพราะบริษัทหลักทรัพย์ หรือ โบรกเกอร์ ที่คุณใช้บริการอยู่ จะทำหน้าที่เป็นผู้หักภาษี ณ วันที่ทำธุรกรรมขาย และนำส่งกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ ทำให้กระบวนการง่ายและสะดวกสำหรับนักลงทุน ไม่ต้องไปยุ่งยากกับการคำนวณหรือยื่นภาษีเอง นี่คือเหตุผลหลักที่ภาครัฐเลือกจัดเก็บจาก “มูลค่าการขาย” แทนที่จะเป็น “กำไร” เพราะการคำนวณจากมูลค่าการขายนั้นง่ายกว่ามาก และมีต้นทุนระบบที่ต่ำกว่า ในขณะที่การคำนวณจากกำไรนั้นจะต้องมีระบบที่ซับซ้อนเพื่อตรวจสอบต้นทุนและผลกำไรที่แท้จริง ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาเรื่องการคำนวณภาษีของผู้ที่ขาดทุนจากการขายหุ้นได้ คุณคิดว่าการจัดเก็บจากมูลค่าการขายนี้เป็นธรรมกับนักลงทุนที่อาจขาดทุนหรือไม่?

สำหรับคำถามที่ว่า “ใครต้องเสียภาษี” และ “ใครได้รับการยกเว้น” นั้น ผู้ที่ต้องเสียภาษีนี้คือ นักลงทุนบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลทุกคนที่ทำการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ก็มีกลุ่มที่ได้รับการยกเว้น ซึ่งรวมถึง:

  • ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker): เพื่อรักษา สภาพคล่องในตลาด และให้การซื้อขายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
  • สำนักงานประกันสังคม: กองทุนที่ดูแลสวัสดิการของแรงงาน เพื่อไม่ให้กระทบต่อผลประโยชน์ของสมาชิก
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ: กองทุนที่พนักงานสะสมไว้เพื่อใช้ยามเกษียณ
  • กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.): กองทุนสำหรับข้าราชการ
  • กองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
  • กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF): กองทุนที่ส่งเสริมการออมเพื่อเกษียณอายุ ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอยู่แล้ว
  • กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.): กองทุนที่ส่งเสริมการออมภาคสมัครใจของประชาชน
  • กองทุนรวมที่ขายหน่วยลงทุนให้หน่วยงานเหล่านี้: เพื่อรักษาเจตนารมณ์ในการยกเว้นภาษีแก่หน่วยงานเพื่อสังคมเหล่านั้น

ณ ปัจจุบัน (ปลายปี 2567 / ต้นปี 2568) ภาษีขายหุ้นนี้ ยังไม่มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ และยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีรายละเอียดและช่วงเวลาที่ชัดเจนเมื่อไหร่

พลิกโฉม “ภาษีหุ้นต่างประเทศ”: หลัก World Wide Income ที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ

ภาพที่แสดงการวางแผนภาษีสำหรับนักลงทุน

ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่มองไกลไปถึงตลาดต่างประเทศ นี่คือเรื่องที่คุณต้องทำความเข้าใจเป็นอย่างยิ่งครับ นับตั้งแต่ วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไป กรมสรรพากรได้กำหนดให้หลัก World Wide Income มีผลบังคับใช้กับการลงทุนในต่างประเทศอย่างเข้มงวดมากขึ้น

ภายใต้กฎใหม่นี้ หากคุณเป็น ผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย (หมายถึงอยู่ในไทยเกิน 180 วันในปีภาษี) คุณจะต้องนำรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กำไรจากการขายหุ้น หรือ เงินปันผล มารวมคำนวณเป็น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามอัตราก้าวหน้าของประเทศไทย ซึ่งสูงสุดอยู่ที่ 35%

จุดที่สำคัญและแตกต่างจากกฎเดิมอย่างมากคือ คุณต้องเสียภาษีทันทีที่รายได้นั้นเกิดขึ้นในต่างประเทศ โดย ไม่คำนึงว่าคุณจะนำเงินกลับประเทศไทยในปีใดก็ตาม ซึ่งหมายความว่า หากคุณลงทุนในหุ้นต่างประเทศและมีกำไรเกิดขึ้นในปี 2567 คุณจะต้องนำกำไรนั้นมารวมคำนวณภาษีของปี 2567 ไม่ว่าคุณจะโอนเงินกำไรนั้นกลับมาที่บัญชีในประเทศไทยในปี 2567, 2568 หรือไม่โอนกลับมาเลยก็ตาม นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่นักลงทุนในตลาดโลกต้องปรับตัว

ลองนึกภาพง่าย ๆ เหมือนคุณไปทำงานพิเศษที่ต่างประเทศแล้วได้รับค่าตอบแทนมา แม้คุณจะยังไม่นำเงินก้อนนั้นกลับมาใช้ที่ไทย แต่คุณก็มีรายได้เกิดขึ้นแล้ว กฎหมายภาษีต่างประเทศนี้ก็คล้ายกัน คือพิจารณาจากแหล่งที่มารายได้ ไม่ใช่แหล่งที่เงินถูกนำมาใช้จ่าย

การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการเพิ่มขีดความสามารถในการจัดเก็บภาษี และทำให้ระบบภาษีมีความครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกที่กำลังมุ่งไปสู่มาตรฐาน Global Minimum Tax หรือ Pillar 2 ซึ่งมุ่งเน้นการจัดเก็บภาษีจากกำไรของบริษัทข้ามชาติและรายได้จากแหล่งต่างประเทศอย่างเป็นธรรม

ช่องทางการลงทุนต่างประเทศที่ยัง “ได้รับการยกเว้นภาษี” ในประเทศไทย

แม้ว่าหลัก World Wide Income จะเริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเข้มข้น แต่ก็ยังมีช่องทางการลงทุนในต่างประเทศบางรูปแบบที่กำไรจากการขายยังคงได้รับการยกเว้นภาษีในประเทศไทยอยู่ นี่เป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีกำไรมากนัก คุณทราบหรือไม่ว่าช่องทางเหล่านี้มีอะไรบ้าง?

ช่องทางสำคัญที่ได้รับสิทธิประโยชน์นี้ได้แก่:

  • การลงทุนผ่านกองทุนรวมของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทย: หากคุณลงทุนในกองทุนรวมที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ต่างประเทศ หรือสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ โดยตรงผ่าน บลจ. ไทย กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนเหล่านั้น (Capital Gain) ยังคงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย นี่เป็นช่องทางที่สะดวกและได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะไม่ต้องยุ่งยากเรื่องภาษีและการติดตามกฎระเบียบของประเทศอื่น ๆ ด้วยตัวเอง
  • การลงทุนผ่าน DR (Depositary Receipt) หรือ DRx ที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย: DR และ DRx คือตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ซื้อขายได้เหมือนหุ้นไทยในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การลงทุนผ่านช่องทางนี้ทำให้คุณสามารถเข้าถึงหุ้นต่างประเทศชื่อดัง เช่น หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา หรือหุ้นจีน ได้อย่างสะดวกสบาย และที่สำคัญคือ กำไรจากการขาย DR หรือ DRx เหล่านี้ยังคงได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย เช่นเดียวกับการขายหุ้นสามัญในประเทศ

อย่างไรก็ตาม สำหรับ เงินปันผลจากหุ้นต่างประเทศ หรือจาก DR/DRx นั้น อาจจะถูกหัก ณ ที่จ่ายในประเทศไทย 10% และหากมีการหักภาษีในต่างประเทศมาแล้ว คุณอาจสามารถใช้สิทธิขอเครดิตภาษีตาม อนุสัญญาภาษีซ้อน ที่ประเทศไทยมีกับประเทศนั้น ๆ ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีซ้ำซ้อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจเพิ่มเติมในแต่ละกรณีไป

ในฐานะนักลงทุน การเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความรู้ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ การทำความเข้าใจข้อได้เปรียบทางภาษีของแต่ละช่องทางจะช่วยให้คุณบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่มอบความยืดหยุ่นและเทคโนโลยีการเทรดที่ทันสมัยสำหรับสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นต่างประเทศ หรือแม้กระทั่งการพิจารณาเริ่ม การเทรดอัตราแลกเปลี่ยน (Forex Trading) หรือสินค้า CFD อื่น ๆ Moneta Markets เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่น่าสนใจและควรค่าแก่การพิจารณา พวกเขาเป็นโบรกเกอร์จากออสเตรเลีย ที่รองรับแพลตฟอร์มการเทรดชั้นนำอย่าง MT4, MT5, และ Pro Trader พร้อมนำเสนอการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วและค่าสเปรดที่แข่งขันได้ มอบประสบการณ์การเทรดที่ดีให้กับทั้งนักลงทุนมือใหม่และมืออาชีพ

ภาษีกำไรและเงินปันผล: ความแตกต่างที่นักลงทุนควรทราบ

นอกเหนือจากประเด็นภาษีขายหุ้นและภาษีหุ้นต่างประเทศแล้ว สิ่งสำคัญพื้นฐานที่นักลงทุนทุกคนต้องแยกแยะให้ออกคือ ความแตกต่างระหว่าง ภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gain Tax) กับ ภาษีเงินปันผล (Dividend Tax) รายได้ทั้งสองประเภทนี้มีที่มาและหลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การทำความเข้าใจจะช่วยให้คุณวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้อง

ภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gain Tax)

นี่คือภาษีที่จัดเก็บจากกำไรที่คุณได้รับจากการขายสินทรัพย์ เช่น หุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากราคาที่ซื้อมา

  • สำหรับบุคคลธรรมดาที่ขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไทย: ปัจจุบัน (ก่อนมีภาษีขายหุ้นตามมูลค่า) ยังคงได้รับการ ยกเว้นภาษีกำไร อย่างสมบูรณ์ ทำให้เป็นจุดเด่นที่ดึงดูดนักลงทุนจำนวนมากเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย
  • สำหรับบุคคลธรรมดาที่ขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ: หากคุณขายหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่น หุ้นของบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนที่ไม่ใช่บริษัทจดทะเบียน กำไรที่ได้จะต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้าปกติ
  • สำหรับนิติบุคคล: ไม่ว่าิขของการขายหุ้นในหรือนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ กำไรจากการขายหุ้นจะต้องถูกนำไปรวมคำนวณเป็นรายได้ของกิจการ และเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ ซึ่งแตกต่างจากบุคคลธรรมดาอย่างชัดเจน

ภาษีเงินปันผล (Dividend Tax)

นี่คือภาษีที่จัดเก็บจากเงินปันผลที่คุณได้รับในฐานะผู้ถือหุ้น โดยเงินปันผลคือส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทจ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้น

  • การหักภาษี ณ ที่จ่าย: สำหรับเงินปันผลที่คุณได้รับจากหุ้นในประเทศไทย ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล เงินปันผลจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ก่อนที่จะถึงมือคุณเสมอ
  • ทางเลือกสำหรับบุคคลธรรมดา:
    • ใช้เป็น Final Tax: คุณสามารถเลือกให้ภาษีเงินปันผลที่ถูกหัก 10% นี้เป็นภาษีสุดท้าย ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณกับรายได้อื่น ๆ อีก ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีรายได้รวมอยู่ในฐานภาษีสูง ๆ
    • นำไปรวมคำนวณภาษีประจำปีและใช้สิทธิเครดิตภาษีเงินปันผล: หากคุณมีรายได้รวมอยู่ในฐานภาษีที่ต่ำกว่า 10% หรือต้องการขอคืนภาษี คุณสามารถเลือกนำเงินปันผลไปรวมคำนวณกับรายได้อื่น ๆ และใช้สิทธิ เครดิตภาษีเงินปันผล ได้ ซึ่งเป็นสิทธิที่ช่วยลดภาระภาษีซ้ำซ้อน เพราะบริษัทได้เสียภาษีนิติบุคคลไปแล้วก่อนจ่ายเงินปันผล
  • สำหรับนิติบุคคล: นิติบุคคลอาจได้รับการยกเว้นภาษีเงินปันผล หากถือหุ้นหรือเข้าเงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อป้องกันการเก็บภาษีซ้ำซ้อนหลายชั้นในโครงสร้างบริษัท

การแยกแยะความแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจภาระภาษีที่เกิดขึ้นจากการลงทุนในแต่ละรูปแบบ และสามารถวางแผนการยื่นภาษีประจำปีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลกระทบของกฎหมายภาษีใหม่ต่อกลยุทธ์การลงทุนของคุณ

การเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ภาษี ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณา ภาษีขายหุ้น ในประเทศ หรือการบังคับใช้หลัก World Wide Income สำหรับหุ้นต่างประเทศ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อกลยุทธ์การลงทุนและผลตอบแทนสุทธิที่คุณจะได้รับอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณได้ลองพิจารณาแล้วหรือยังว่าสิ่งเหล่านี้จะกระทบต่อพอร์ตของคุณอย่างไรบ้าง?

สำหรับนักลงทุนในประเทศ หาก ภาษีขายหุ้น มีผลบังคับใช้จริง ต้นทุนการทำธุรกรรมของคุณจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ทำการขาย ไม่ว่าคุณจะได้กำไรหรือขาดทุนก็ตาม ซึ่งอาจทำให้คุณต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนจากการเทรดสั้น (Day Trade) หรือการเทรดที่เน้นความถี่สูง ไปสู่การลงทุนระยะยาวมากขึ้น เพื่อลดจำนวนครั้งของการทำธุรกรรมขาย และลดภาระภาษีที่เกิดขึ้น การเลือกถือหุ้นดีมีพื้นฐานที่สร้างผลตอบแทนจากการเติบโตของกิจการและเงินปันผลระยะยาว อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในอนาคต

ในส่วนของ ภาษีหุ้นต่างประเทศ ที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้การลงทุนในตลาดโลกมีความซับซ้อนทางภาษีมากขึ้น หากคุณลงทุนตรงในหุ้นต่างประเทศผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศ คุณจะต้องจดบันทึกกำไรขาดทุนและเงินปันผลที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อนำมายื่นคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทยด้วยตนเอง นี่อาจเป็นภาระที่เพิ่มขึ้น และอาจต้องขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี

ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนผ่าน กองทุนรวมของ บลจ. ไทย หรือ DR/DRx ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับนักลงทุนบุคคลธรรมดาที่ต้องการกระจายความเสี่ยงไปต่างประเทศ โดยยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในส่วนของกำไรจากการขายหน่วยลงทุนหรือหลักทรัพย์ การเลือกช่องทางเหล่านี้จะช่วยลดความยุ่งยากในการจัดการภาษี และยังคงสามารถเข้าถึงโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกได้

การปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายภาษีที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่แค่เรื่องของการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการการลงทุนของคุณให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้มั่นใจว่าผลตอบแทนที่คุณได้รับนั้น เป็นผลตอบแทนสุทธิที่คุณสามารถเก็บเกี่ยวได้อย่างเต็มที่ การทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งจะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างรอบคอบและชาญฉลาดในทุกสถานการณ์

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับนักลงทุน: เรื่องที่คุณไม่ควรมองข้าม

เมื่อพูดถึงภาษีจากการลงทุน สิ่งที่เราต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งคือกรอบของ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นแกนหลักในการคำนวณภาระภาษีของคุณในฐานะนักลงทุน คุณรู้หรือไม่ว่ารายได้จากการลงทุนประเภทใดบ้างที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีประจำปี?

โดยทั่วไปแล้ว รายได้จากการลงทุนที่บุคคลธรรมดาต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ได้แก่:

  • เงินปันผลจากหุ้นในประเทศ: แม้จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% ไปแล้ว แต่คุณก็มีสิทธิเลือกที่จะนำมารวมคำนวณภาษีประจำปีเพื่อใช้สิทธิเครดิ

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *