ตราสารหนี้ 2024: โอกาสสุดท้ายที่นักลงทุนไม่ควรมองข้ามในยุคดอกเบี้ยสูง
ในโลกของการลงทุนที่ผันผวน การค้นหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและมีความมั่นคงดูเหมือนจะเป็นภารกิจที่ท้าทาย แต่หากเรามองให้ลึกซึ้ง ตราสารหนี้กลับโดดเด่นขึ้นมาในฐานะสินทรัพย์ที่อาจมอบ “โอกาสทองสุดท้าย” ให้แก่คุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2024 นี้ ท่ามกลางกระแสการคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกกำลังจะเข้าสู่ช่วงขาลงอีกครั้ง
บทความนี้จะนำพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุมของ ตราสารหนี้ ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน ประเภท ความเสี่ยง ไปจนถึงกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เราจะเจาะลึกว่าทำไมสินทรัพย์ที่หลายคนมองว่าเป็นเพียง “หลุมหลบภัย” นี้ จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ และเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณได้อย่างไร เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจและคว้าผลตอบแทนที่ดีที่สุด
คุณพร้อมที่จะเรียนรู้และปลดล็อกศักยภาพของตราสารหนี้ไปกับเราแล้วหรือยัง?
ตราสารหนี้คืออะไร? หัวใจของการลงทุนแบบ “เจ้าหนี้”
ตราสารหนี้ หรือที่รู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า Bond คือตราสารทางการเงินประเภทหนึ่งที่แสดงถึงการเป็นเจ้าหนี้ เป็นหลักฐานที่ผู้กู้ (ซึ่งอาจเป็นรัฐบาลหรือบริษัทเอกชน) ออกให้แก่ผู้ให้กู้ (นักลงทุน) เพื่อระดมเงินทุนไปใช้ในการดำเนินงานหรือพัฒนาโครงการต่างๆ พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อคุณลงทุนในตราสารหนี้ คุณกำลังให้ยืมเงิน และในฐานะผู้ให้ยืม คุณก็จะได้รับผลตอบแทนเป็น ดอกเบี้ย เป็นงวดๆ ตามระยะเวลาที่กำหนด และได้รับ เงินต้น คืนเต็มจำนวนเมื่อตราสารนั้นครบกำหนดอายุ
ลองจินตนาการว่าคุณเป็นคนให้เพื่อนยืมเงิน คุณคาดหวังอะไรตอบแทน? แน่นอนว่าต้องมีดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทนที่เพื่อนได้ใช้เงินของคุณ และสุดท้ายเพื่อนก็ต้องคืนเงินต้นให้คุณครบถ้วน ตราสารหนี้ก็มีหลักการเดียวกัน เพียงแต่ “เพื่อน” ในที่นี้คือหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น รัฐบาลหรือบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคง
สิ่งสำคัญที่ทำให้ตราสารหนี้แตกต่างจากการลงทุนอื่นๆ คือสถานะของคุณในฐานะ “เจ้าหนี้” ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องก่อน “เจ้าของกิจการ” (ผู้ลงทุนในตราสารทุน) หากเกิดเหตุการณ์ที่บริษัทไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ คุณในฐานะเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้คืนก่อน นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตราสารหนี้ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับตราสารทุน
คุณสมบัติ | ตราสารหนี้ (Debt Instrument) | ตราสารทุน (Equity Instrument) |
---|---|---|
สถานะของนักลงทุน | เจ้าหนี้ของกิจการ | เจ้าของกิจการ (ถือหุ้น) |
วัตถุประสงค์ | การกู้ยืมเงินเพื่อระดมทุน | การร่วมเป็นเจ้าของกิจการ |
ผลตอบแทนหลัก | ดอกเบี้ย (คงที่หรือลอยตัว) | เงินปันผล (ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ), Capital Gain (กำไรจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น) |
ความเสี่ยง | ความเสี่ยงต่ำกว่า (มีสิทธิเรียกร้องก่อน) | ความเสี่ยงสูงกว่า (ผลประกอบการไม่แน่นอน, ไม่มีสิทธิเรียกร้องก่อน) |
สิทธิในกิจการ | ไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร (แต่มีสิทธิรับเงินคืนก่อน) | มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร (เช่น โหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้น) |
ตัวอย่าง | พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้, ตั๋วเงินคลัง | หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ, หน่วยลงทุน (DR, NVDR) |
เจาะลึกประเภทตราสารหนี้: จากภาครัฐสู่เอกชน
ตราสารหนี้ ไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียว แต่แบ่งออกได้หลายประเภทตามลักษณะของผู้ออกและวัตถุประสงค์ในการระดมทุน การทำความเข้าใจประเภทเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกการลงทุนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์และความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
ประเภทหลักๆ ของตราสารหนี้ ได้แก่:
-
ตราสารหนี้ภาครัฐ: คือตราสารที่ออกโดยหน่วยงานของรัฐบาล หรือรัฐวิสาหกิจ ถือเป็นตราสารที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด เนื่องจากมีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันความสามารถในการชำระหนี้
-
ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bills): ตราสารหนี้ระยะสั้น อายุไม่เกิน 1 ปี ออกโดยกระทรวงการคลังเพื่อบริหารสภาพคล่องของภาครัฐ
-
พันธบัตรรัฐบาล (Government Bonds): ตราสารหนี้ระยะปานกลางถึงยาว ออกโดยกระทรวงการคลังเพื่อระดมทุนไปใช้จ่ายตามงบประมาณ มีอายุหลากหลายตั้งแต่ 1 ปีไปจนถึง 50 ปี
-
พันธบัตรออมทรัพย์ (Savings Bonds): พันธบัตรที่รัฐบาลออกให้แก่ประชาชนโดยเฉพาะ เพื่อส่งเสริมการออม มักมีอัตราดอกเบี้ยคงที่และจำกัดวงเงินการซื้อ
-
พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand Bonds): ออกโดยธนาคารกลาง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศ เช่น การดูแลสภาพคล่องในระบบ
-
-
ตราสารหนี้ภาคเอกชน: คือตราสารที่ออกโดยบริษัทเอกชน เพื่อระดมทุนไปใช้ในการขยายกิจการ ลงทุนในโครงการ หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
-
หุ้นกู้ (Debentures): เป็นตราสารหนี้ที่พบบ่อยที่สุดในภาคเอกชน บริษัทออกหุ้นกู้เพื่อกู้ยืมเงินจากนักลงทุน โดยมีข้อกำหนดเรื่องอัตราดอกเบี้ยและวันครบกำหนดไถ่ถอนชัดเจน หุ้นกู้อาจมีหลักประกันหรือไม่ก็ได้ และความเสี่ยงจะขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออก
-
ตั๋วแลกเงิน (Bills of Exchange / Promissory Notes): ตราสารหนี้ระยะสั้น ที่บริษัทออกเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน มักมีอายุไม่เกิน 270 วัน และมีความยืดหยุ่นสูง
-
การแยกแยะประเภทของ ตราสารหนี้ เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละประเภทมีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกัน คุณต้องพิจารณาว่าตราสารนั้นออกโดยใคร มีวัตถุประสงค์อะไร และมีความน่าเชื่อถือเพียงใด ก่อนตัดสินใจลงทุน
ความเสี่ยงที่มาพร้อมผลตอบแทน: การประเมินความน่าเชื่อถือและปัจจัยสำคัญ
แม้ว่า ตราสารหนี้ จะถูกจัดว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับตราสารทุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงเลย การทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อที่คุณจะสามารถบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความเสี่ยงหลักของตราสารหนี้ที่คุณควรรู้:
-
ความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk / Credit Risk): นี่คือความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารหนี้จะไม่สามารถชำระคืนดอกเบี้ย หรือเงินต้นได้ตามที่ตกลงไว้ ความเสี่ยงนี้สูงขึ้นสำหรับตราสารหนี้ภาคเอกชน และสามารถประเมินได้จาก “การจัดอันดับความน่าเชื่อถือ” (Credit Rating)
-
Credit Rating: จัดทำโดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับโลก เช่น S&P, Moody’s, Fitch หรือในประเทศไทยอย่าง TRIS Rating โดยจะมีการกำหนดสัญลักษณ์ เช่น AAA (มีความน่าเชื่อถือสูงสุด) ไปจนถึง D (ผิดนัดชำระหนี้แล้ว)
-
Investment Grade: คือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ BBB- ขึ้นไป ถือว่ามีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคง
-
Speculative Grade (หรือ High Yield Bond / Junk Bond): คือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับต่ำกว่า BBB- ซึ่งมีความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้สูงกว่า แต่ก็มีแนวโน้มที่จะให้ผลตอบแทน ดอกเบี้ย ที่สูงกว่าเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
-
-
ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): นี่คือความเสี่ยงที่ ราคาตราสารหนี้ จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางตรงกันข้ามกับ อัตราดอกเบี้ย ในตลาด หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาของตราสารหนี้ที่คุณถืออยู่จะลดลง และในทางกลับกัน หากอัตราดอกเบี้ยลดลง ราคาจะเพิ่มขึ้น ตราสารหนี้ที่มีอายุยาวกว่าจะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น
-
ความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ (Inflation Risk): แม้ว่าคุณจะได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นคืนครบถ้วน แต่หากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น พลังซื้อของเงินที่คุณได้รับคืนอาจลดลง นี่คือความเสี่ยงที่ทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงของคุณลดลง
-
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): เป็นความเสี่ยงที่คุณอาจไม่สามารถขายตราสารหนี้ได้ในราคาที่คุณต้องการ หรือไม่สามารถขายได้เลยในเวลาที่ต้องการ โดยเฉพาะตราสารหนี้ที่ไม่ได้มีการซื้อขายมากนักในตลาดรอง
การเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือก ตราสารหนี้ ที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ และวางแผนการลงทุนได้อย่างชาญฉลาด เพื่อลดโอกาสที่จะเผชิญกับผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์
ไขความลับ: ความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างอัตราดอกเบี้ยและราคาตราสารหนี้
หัวใจสำคัญประการหนึ่งในการลงทุน ตราสารหนี้ คือการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง อัตราดอกเบี้ย ในตลาดกับราคาของตราสารหนี้ ความสัมพันธ์นี้เป็นแบบ “ผกผัน” หรือสวนทางกันเสมอ
-
เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น: ตราสารหนี้ใหม่ที่ออกมาจะเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าตราสารหนี้ที่คุณถืออยู่ (ซึ่งออกมาก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น) ทำให้ตราสารหนี้เก่าของคุณดูไม่น่าสนใจเท่าเดิม ราคาของตราสารหนี้เก่าจึงต้องปรับลดลงเพื่อให้นักลงทุนรายใหม่ได้รับผลตอบแทนในระดับที่ใกล้เคียงกับตราสารหนี้ใหม่
-
เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวลดลง: ตราสารหนี้ใหม่จะเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตราสารหนี้ที่คุณถืออยู่ ทำให้ตราสารหนี้ของคุณดูน่าสนใจมากขึ้น ราคาของตราสารหนี้เก่าจึงปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งนี่เองคือโอกาสในการทำ Capital Gain หรือกำไรจากส่วนต่างราคา ที่เราจะพูดถึงในส่วนของกลยุทธ์การลงทุน
นอกจากนี้ อายุของ ตราสารหนี้ ก็มีผลต่อความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย:
-
ตราสารหนี้ระยะยาว: มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น เพราะมีระยะเวลาที่จะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ผันผวนนานกว่า ดังนั้น หากคุณคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดลง การลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวจะให้โอกาสในการทำ Capital Gain ที่สูงกว่า
-
ตราสารหนี้ระยะสั้น: มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า เหมาะสำหรับช่วงที่ อัตราดอกเบี้ย ผันผวนหรือไม่แน่นอน เพื่อลดผลกระทบต่อราคา
การจับตาดูทิศทางของ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของธนาคารกลางในแต่ละประเทศ เช่น Fed (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการปรับขึ้น-ลงของอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลโดยตรงต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาด และเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางราคาของ ตราสารหนี้
กองทุนตราสารหนี้: ทางออกอันชาญฉลาดสำหรับนักลงทุนรายย่อย
การลงทุนใน ตราสารหนี้ รายตัว อาจมีข้อจำกัดสำหรับนักลงทุนรายย่อยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุนเริ่มต้นที่สูง การกระจายความเสี่ยงที่ทำได้ยาก การขาดความรู้เฉพาะทางในการวิเคราะห์ ตราสารหนี้ แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะ กองทุนตราสารหนี้ คือทางออกที่ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้อย่างดีเยี่ยม
กองทุนตราสารหนี้ คือกองทุนรวมประเภทหนึ่งที่ผู้จัดการกองทุนจะนำเงินที่รวบรวมจากนักลงทุนจำนวนมากไปลงทุนใน ตราสารหนี้ หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ หรือ ตราสารหนี้ อื่นๆ ตามนโยบายการลงทุนที่กำหนดไว้
ข้อดีของการลงทุนผ่านกองทุนตราสารหนี้:
-
เงินลงทุนเริ่มต้นน้อย: คุณสามารถเริ่มต้นลงทุนได้ด้วยเงินจำนวนไม่มาก ทำให้เข้าถึงการลงทุนใน ตราสารหนี้ ได้ง่ายขึ้น
-
การกระจายความเสี่ยง: กองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้หลายร้อยตัวจากหลากหลายผู้ออก ทำให้ช่วย กระจายความเสี่ยง การผิดนัดชำระหนี้จากตราสารหนี้ตัวใดตัวหนึ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
-
บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ: คุณไม่ต้องเสียเวลาศึกษาหรือติดตามตลาด ตราสารหนี้ ด้วยตัวเอง เพราะมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลและปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดอยู่เสมอ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าพอร์ตของคุณจะถูกดูแลอย่างดีที่สุด
-
สภาพคล่องสูง: หน่วยลงทุนของกองทุนตราสารหนี้สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ ทำให้คุณสามารถเปลี่ยนกลับเป็นเงินสดได้ง่ายกว่าการถือตราสารหนี้รายตัว
-
เข้าถึงตลาดที่ซับซ้อน: กองทุนสามารถเข้าถึงตราสารหนี้บางประเภทที่นักลงทุนรายย่อยไม่สามารถลงทุนได้โดยตรง เช่น Mortgage-backed securities หรือ Emerging-markets debt
ดังนั้น หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ หรือต้องการลงทุนใน ตราสารหนี้ โดยไม่ต้องการความยุ่งยาก กองทุนตราสารหนี้ ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง
กลยุทธ์การลงทุนตราสารหนี้ในแต่ละวัฏจักรดอกเบี้ย: สั้นหรือยาวดี?
การลงทุนใน ตราสารหนี้ ไม่ได้หมายถึงการซื้อแล้วถือไว้เฉยๆ แต่ต้องอาศัยความเข้าใจในวัฏจักรของ อัตราดอกเบี้ย และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม เพื่อคว้าผลตอบแทนสูงสุด
เรามาดูกลยุทธ์สำหรับแต่ละสภาวะตลาดกัน:
-
ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น: เน้นตราสารหนี้ระยะสั้น
ในสภาวะที่ ธนาคารกลาง มีแนวโน้มปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อสกัดเงินเฟ้อ เช่นที่เห็นในช่วงที่ผ่านมา ราคาตราสารหนี้ โดยเฉพาะระยะยาวจะได้รับผลกระทบในทางลบอย่างมาก
กลยุทธ์ที่แนะนำ:
-
ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น: ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ราคาไม่ผันผวนมากนัก
-
พักเงินในกองทุนตลาดเงิน (Money Market Fund): เพื่อรอจังหวะที่ อัตราดอกเบี้ย สูงขึ้นและนิ่งแล้วค่อยขยับไปลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว
การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณลดความเสี่ยงจากการขาดทุนในส่วนของราคา และยังสามารถได้รับผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากตราสารหนี้ระยะสั้น
-
-
ช่วงดอกเบี้ยขาลง: เน้นตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อ Capital Gain
นี่คือช่วงที่ ธนาคารกลาง มีแนวโน้มปรับลด อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็น “โอกาสทอง” สำหรับนักลงทุนใน ตราสารหนี้
กลยุทธ์ที่แนะนำ:
-
ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะยาว: เนื่องจากมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยสูง เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ราคาตราสารหนี้ ระยะยาวจะปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิด Capital Gain ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่นอกเหนือจาก ดอกเบี้ย
-
เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้: หากคุณเชื่อมั่นว่าแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงกำลังจะมาถึง การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวจะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากสถานการณ์นี้
ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพอย่าง Daniel Ivascyn จาก PIMCO ซึ่งเป็นผู้จัดการกองทุน PIMCO GIS Income Fund (UGIS-N) ก็ได้ให้มุมมองที่สอดคล้องกันว่า ตราสารหนี้ ระยะยาวจะให้ผลตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยกลับเป็นขาลง
-
การปรับกลยุทธ์ให้ยืดหยุ่นตามวัฏจักร อัตราดอกเบี้ย จะช่วยให้คุณสามารถสร้าง ผลตอบแทน ที่ดีจาก ตราสารหนี้ ได้ไม่ว่าตลาดจะอยู่ในสภาวะใด
จับตาปี 2024: ทำไมโอกาสทองของตราสารหนี้จึงอยู่ตรงหน้าคุณ
ปี 2024 ถูกมองว่าเป็น “โอกาสทองสุดท้าย” สำหรับการลงทุนใน กองทุนตราสารหนี้ และอาจเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในรอบทศวรรษสำหรับสินทรัพย์ประเภทนี้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
ปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนมุมมองนี้คือ:
-
อัตราดอกเบี้ยที่สูงในรอบทศวรรษ: เราเพิ่งผ่านช่วงที่ ธนาคารกลาง ทั่วโลก รวมถึง Fed ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด ส่งผลให้ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย และ Bond Yield (ผลตอบแทนของตราสารหนี้) ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในระดับที่น่าสนใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมานาน ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถซื้อ ตราสารหนี้ ที่ให้ ดอกเบี้ย ในระดับที่สูงกว่าในอดีตมาก
-
แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง: ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed และธนาคารกลางอื่นๆ จะเริ่มปรับลด อัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างน้อยสองครั้งในปีนี้ หากสิ่งนี้เกิดขึ้น จะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อ กองทุนตราสารหนี้ ที่ถือสินทรัพย์อายุยาว เพราะ ราคาตราสารหนี้ เหล่านั้นจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เกิด Capital Gain ที่น่าดึงดูด
ยกตัวอย่างเช่น ผู้จัดการกองทุนจาก JPMorgan Funds – US Aggregate Bond Fund (MUBONDUH-A) และ PIMCO GIS Income Fund (UGIS-N) ซึ่งลงทุนใน ตราสารหนี้ สหรัฐฯ และทั่วโลก ก็ได้แสดงมุมมองเชิงบวกอย่างชัดเจนต่อโอกาสในการทำกำไรจาก Capital Gain ในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มกลับเป็นขาลง โดยมองว่าการเข้าลงทุนใน ตราสารหนี้ ในช่วงนี้คล้ายกับการเข้าซื้อในตลาดหมีของ ตลาดหุ้น ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาถูกและมีศักยภาพในการฟื้นตัวสูง
-
การกระจายความเสี่ยงในพอร์ต: ในสภาวะที่ ตลาดหุ้น มีความผันผวน ตราสารหนี้ ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ช่วย กระจายความเสี่ยง และเป็นตัวป้องกัน ความผันผวน ให้กับพอร์ตการลงทุนโดยรวมได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะมี ความเสี่ยง อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าต่ำกว่า ตราสารทุน อย่างมาก
ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหา ผลตอบแทน ที่มั่นคง และโอกาสในการทำ Capital Gain จากการเปลี่ยนแปลงของ อัตราดอกเบี้ย การพิจารณาลงทุนใน กองทุนตราสารหนี้ ในปี 2024 นี้ จึงเป็นจังหวะที่ไม่ควรมองข้าม
บทบาทอันทรงพลังของตราสารหนี้ในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มั่นคง
หลายคนอาจมองว่า ตราสารหนี้ ให้ผลตอบแทนไม่สูงนักเมื่อเทียบกับ ตราสารทุน แต่บทบาทที่แท้จริงของ ตราสารหนี้ ในพอร์ตการลงทุนของคุณนั้นมีคุณค่ามากกว่าเพียงแค่ตัวเลข ดอกเบี้ย ที่ได้รับ มันคือเสาหลักแห่งความมั่นคงที่ช่วยให้พอร์ตของคุณยืนหยัดได้ในทุกสภาวะตลาด
ตราสารหนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการ:
-
กระจายความเสี่ยง (Diversification): ตราสารหนี้มักมีทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาที่แตกต่างหรือตรงกันข้ามกับ ตราสารทุน เมื่อ ตลาดหุ้น ตกต่ำ ตราสารหนี้ มักจะรักษามูลค่าได้ดี หรือบางครั้งราคาอาจเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ การรวม ตราสารหนี้ เข้าไปในพอร์ตจึงช่วยลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ตได้ หากสินทรัพย์หนึ่งมีมูลค่าลดลง อีกสินทรัพย์หนึ่งอาจช่วยพยุงไว้ได้
-
เป็นแหล่งรายได้ที่สม่ำเสมอ: ดอกเบี้ย ที่ได้รับจาก ตราสารหนี้ เป็นรายได้ที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ ช่วยให้คุณมีกระแสเงินสดเข้ามาในพอร์ตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำ หรือใช้ในการวางแผนการใช้จ่าย
-
ลดความผันผวนของพอร์ต: ด้วย ความเสี่ยง ที่ต่ำกว่า ตราสารทุน การมี ตราสารหนี้ ในพอร์ตจะช่วยลดความผันผวนโดยรวม ทำให้คุณไม่รู้สึกตกใจมากนักในช่วงที่ตลาดเป็นขาลง และช่วยให้นักลงทุนมือใหม่สามารถรับมือกับความผันผวนได้ดีขึ้น
-
รักษาเงินต้น: สำหรับนักลงทุนที่เน้นการรักษา เงินต้น และต้องการ ผลตอบแทน ที่แน่นอน ตราสารหนี้ ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่ง เนื่องจากเมื่อครบกำหนดอายุ คุณจะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน (เว้นแต่จะเกิดการผิดนัดชำระหนี้)
การผสมผสาน ตราสารหนี้ เข้าไปในพอร์ตการลงทุนของคุณอย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณมีพอร์ตที่สมดุล สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของ ตลาดการเงิน และยังคงเดินหน้าไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่คุณวางไว้ได้อย่างมั่นคง
ตราสารหนี้ vs. ตราสารทุน: เลือกเส้นทางไหนให้เหมาะกับคุณ?
เมื่อพูดถึงการลงทุน นักลงทุนมักจะเปรียบเทียบระหว่าง ตราสารหนี้ และ ตราสารทุน ซึ่งทั้งสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในแง่ของสถานะของนักลงทุน ผลตอบแทน และ ความเสี่ยง การทำความเข้าใจข้อแตกต่างเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถเลือกเส้นทางการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
คุณสมบัติ | ตราสารหนี้ (Debt Instrument) | ตราสารทุน (Equity Instrument) |
---|---|---|
สถานะของนักลงทุน | เจ้าหนี้ของกิจการ | เจ้าของกิจการ (ถือหุ้น) |
วัตถุประสงค์ | การกู้ยืมเงินเพื่อระดมทุน | การร่วมเป็นเจ้าของกิจการ |
ผลตอบแทนหลัก | ดอกเบี้ย (คงที่หรือลอยตัว) | เงินปันผล (ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ), Capital Gain (กำไรจากราคาหุ้นที่สูงขึ้น) |
ความเสี่ยง | ความเสี่ยงต่ำกว่า (มีสิทธิเรียกร้องก่อน) | ความเสี่ยงสูงกว่า (ผลประกอบการไม่แน่นอน, ไม่มีสิทธิเรียกร้องก่อน) |
สิทธิในกิจการ | ไม่มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร (แต่มีสิทธิรับเงินคืนก่อน) | มีสิทธิออกเสียงในการบริหาร (เช่น โหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้น) |
ตัวอย่าง | พันธบัตรรัฐบาล, หุ้นกู้, ตั๋วเงินคลัง | หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ, หน่วยลงทุน (DR, NVDR) |
ควรเลือกอะไรดี?
-
หากคุณเน้นความมั่นคงและรายได้สม่ำเสมอ: ตราสารหนี้ อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากมี ความเสี่ยง ต่ำกว่าและให้ ดอกเบี้ย ที่คาดการณ์ได้ เหมาะสำหรับส่วนหลักของพอร์ตเพื่อความปลอดภัย
-
หากคุณต้องการการเติบโตและรับความเสี่ยงได้สูง: ตราสารทุน จะให้ ผลตอบแทน ที่สูงกว่าในระยะยาว (แต่ก็มีความผันผวนสูงกว่ามาก) เหมาะสำหรับส่วนของพอร์ตที่เน้นการเติบโตและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
นักลงทุนส่วนใหญ่จะผสมผสานทั้ง ตราสารหนี้ และ ตราสารทุน เข้าด้วยกันใน พอร์ตการลงทุน เพื่อให้ได้ความสมดุลระหว่าง ความเสี่ยง และ ผลตอบแทน ที่เหมาะสมกับตนเอง
สรุปบทเรียนสำคัญ: สร้างผลตอบแทนยั่งยืนด้วยความเข้าใจในตราสารหนี้
จากที่เราได้เรียนรู้กันมา คุณคงเห็นแล้วว่า ตราสารหนี้ นั้นเป็นมากกว่าสินทรัพย์ที่ให้ ผลตอบแทน สม่ำเสมอ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหาร ความเสี่ยง และสร้างเสถียรภาพให้กับ พอร์ตการลงทุน ของคุณ ไม่ว่าตลาดจะมีความผันผวนเพียงใดก็ตาม
บทเรียนสำคัญที่คุณควรจำไว้มีดังนี้:
-
ตราสารหนี้คือการเป็นเจ้าหนี้: คุณให้ยืมเงินและได้รับ ดอกเบี้ย พร้อม เงินต้น คืนเมื่อครบกำหนด ซึ่งแตกต่างจาก ตราสารทุน ที่คุณเป็นเจ้าของ
-
ความเสี่ยงและผลตอบแทนสัมพันธ์กัน: ความน่าเชื่อถือของผู้ออก (ดูจาก Credit Rating) และอายุของ ตราสารหนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อ ความเสี่ยง และ ผลตอบแทน
-
อัตราดอกเบี้ยคือหัวใจ: ราคาตราสารหนี้ เคลื่อนไหวสวนทางกับ อัตราดอกเบี้ย การจับตาดูทิศทางของ ธนาคารกลาง (เช่น Fed) เป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์
-
กองทุนตราสารหนี้คือประตูสู่การลงทุน: สำหรับนักลงทุนรายย่อย กองทุนตราสารหนี้ ช่วยให้คุณเข้าถึงการลงทุนใน ตราสารหนี้ ได้ง่ายขึ้น ด้วยเงินลงทุนที่น้อย การ กระจายความเสี่ยง ที่ดี และการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ
-
ปี 2024 คือโอกาสทอง: ด้วย อัตราดอกเบี้ย ที่สูงในปัจจุบัน และแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยในอนาคต ทำให้มีโอกาสสูงที่จะได้รับทั้ง ดอกเบี้ย ที่น่าสนใจและ Capital Gain
-
ตราสารหนี้คือสมดุลของพอร์ต: การมี ตราสารหนี้ ในพอร์ตช่วย กระจายความเสี่ยง ลดความผันผวน และเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือนักลงทุนที่มีประสบการณ์
การทำความเข้าใจพื้นฐาน แนวโน้ม และปรับใช้กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับทุกสภาวะ ตลาดการเงิน และบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน เพราะความรู้คือพลังที่แท้จริงในการสร้าง ผลตอบแทน ที่ยั่งยืนให้กับอนาคตทางการเงินของคุณ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตราสารเงิน คือ
Q:ตราสารหนี้คืออะไร?
A:ตราสารหนี้เป็นหลักฐานทางการเงินที่แสดงถึงการเป็นเจ้าหนี้และการให้ยืมเงินแก่ผู้ออกตราสารเพื่อการระดมทุน
Q:นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงอะไรบ้างก่อนลงทุนในตราสารหนี้?
A:นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้, ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย, และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
Q:กองทุนตราสารหนี้มีข้อดีอย่างไร?
A:กองทุนตราสารหนี้ช่วยให้เข้าถึงการลงทุนได้ง่าย ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญ และมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี