กลยุทธ์การเทรด Demand Supply Zone ที่ทุกคนควรรู้

สารบัญ

Demand Supply Zone คืออะไร? ทำไมจึงสำคัญต่อการเทรด

ในโลกของการซื้อขายที่เต็มไปด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ราคาและกลยุทธ์ซับซ้อนมากมาย มีแนวคิดหนึ่งที่ยังคงถูกใช้งานอย่างกว้างขวางและมีประสิทธิภาพสูง แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายปี นั่นก็คือ Demand Supply Zone หรือ “โซนแรงซื้อ-แรงขาย” ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่แนวรับแนวต้านธรรมดา แต่เป็นการตามรอยกลุ่มผู้เล่นใหญ่ในตลาด ไม่ว่าจะเป็นกองทุน สถาบันการเงิน หรือ “วาฬ” ที่มีอำนาจควบคุมทิศทางราคาได้

กลไกเบื้องหลังโซนเหล่านี้คือ “ความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทาน” เมื่อมีคำสั่งซื้อเข้ามามากจนเกินกว่าจะจับคู่กับผู้ขายได้ทัน ราคาก็จะถูกดันขึ้นอย่างรวดเร็ว ทิ้งร่องรอยของ “โซนแรงซื้อ” หรือ Demand Zone ไว้ข้างหลัง ในทางกลับกัน เมื่อมีแรงขายมหาศาลจากผู้เล่นรายใหญ่ ราคาก็จะร่วงลงอย่างรุนแรง สร้างเป็น Supply Zone หรือ “โซนแรงขาย”

การวิเคราะห์โซนเหล่านี้ไม่ใช่แค่การมองหาจุดกลับตัว แต่เป็นการคาดการณ์พฤติกรรมของผู้มีอิทธิพลในตลาด โดยเฉพาะเวลาที่ราคากลับมาทดสอบโซนเดิม โอกาสที่ราคาจะตอบสนองในลักษณะเดิมมีค่อนข้างสูง ทำให้ Demand Supply Zone กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทรงพลังที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเข้าใจกลไกราคาอย่างแท้จริง

illustration of trading chart with demand supply zones

Demand Zone (โซนแรงซื้อ) คืออะไร?

Demand Zone คือบริเวณบนกราฟที่เกิดจากแรงซื้อที่มีอำนาจเหนือกว่าแรงขายอย่างชัดเจน มักปรากฏหลังจากราคาร่วงลงแล้วหยุดตัวชั่วคราว ก่อนจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โซนนี้ไม่ใช่แค่จุดที่ราคากลับตัว แต่เป็น “พื้นที่” ที่นักลงทุนสถาบันได้สะสมตำแหน่งไว้จำนวนมาก

เมื่อราคากลับมาทดสอบโซนเดิมอีกครั้ง ผู้เล่นใหญ่ที่ยังคงมีคำสั่งซื้อค้างอยู่จะเข้ามาซื้อซ้ำ ทำให้ราคาถูกดันกลับขึ้นอีกครั้ง นี่คือเหตุผลที่ Demand Zone มักทำหน้าที่เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งกว่าแนวรับทั่วไป ซึ่งมักถูกสร้างจากพฤติกรรมของผู้เล่นรายย่อย

illustration of a trader analyzing price movements

Supply Zone (โซนแรงขาย) คืออะไร?

ในทางตรงกันข้าม Supply Zone เกิดขึ้นเมื่อแรงขายมีปริมาณมากจนครอบงำแรงซื้ออย่างสิ้นเชิง ราคามักจะเคลื่อนตัวขึ้นมาสร้างฐาน แล้วเกิดการเทขายอย่างรุนแรง จนราคาร่วงลงอย่างต่อเนื่อง บริเวณที่สร้างฐานก่อนจะร่วงลง คือจุดที่ผู้เล่นรายใหญ่ได้วางคำสั่งขายไว้

เมื่อราราคาวิ่งกลับขึ้นมาทดสอบโซนเดิม คำสั่งขายที่ยังไม่ได้ถูกเติมเต็มจะถูกกระตุ้น ทำให้เกิดแรงกดดันต่อเนื่องและผลักดันให้ราคาเปลี่ยนทิศทางลงอีกครั้ง คล้ายกับแนวคิดของ แนวต้าน แต่ในรูปแบบที่ลึกซึ้งและมีแรงขับเคลื่อนที่ชัดเจนกว่ามาก

illustration showing the concept of imbalance in trading

วิธีระบุและวาด Demand Supply Zone อย่างมืออาชีพ

การระบุโซนเหล่านี้ไม่ใช่การสุ่มเดา แต่ต้องอาศัยการสังเกตโครงสร้างราคาอย่างเป็นระบบ โดยทั่วไป โซนที่มีคุณภาพมักประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่:

  • Leg-in: การเคลื่อนตัวของราคาที่ “เข้ามา” ยังบริเวณที่จะกลายเป็นโซน เป็นการเข้าสู่พื้นที่ที่ยังไม่มีความไม่สมดุลชัดเจน
  • Base: จุดที่สำคัญที่สุด คือบริเวณที่ราคาหยุดนิ่งชั่วคราว มีการสร้างฐานด้วยแท่งเทียนเล็ก ๆ หรือการเคลื่อนตัวแบบไซด์เวย์ บ่งบอกถึงการสะสมหรือการเทขาย
  • Leg-out: การเคลื่อนตัวที่ “ออกไป” อย่างรุนแรงและรวดเร็ว ซึ่งเป็นสัญญาณยืนยันว่ามีความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทานเกิดขึ้นจริง

ขั้นตอนการวาดโซนอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. หา Leg-out ก่อน: เริ่มจากการมองหาการเคลื่อนตัวของราคาที่รวดเร็วและรุนแรง เช่น แท่งเทียนยาวที่พุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง นี่คือตัวชี้วัดหลักว่าโซนนี้มีน้ำหนัก
  2. ย้อนกลับไปหา Base: เมื่อพบ Leg-out แล้ว ให้ย้อนกลับไปดูว่าการเคลื่อนตัวรุนแรงนั้นเริ่มต้นจากจุดไหน บริเวณที่ราคาเริ่มต้นพุ่งออก คือ Base หรือ “จุดกำเนิด” ของโซน
  3. วาดกรอบโซน: ใช้กล่องสี่เหลี่ยมลากครอบบริเวณ Base ทั้งหมด โดยมี 2 วิธีหลัก:
    • วาดครอบทั้งไส้เทียน (High ถึง Low): ให้โซนที่กว้างกว่า เหมาะกับการเทรดที่เน้นความปลอดภัย
    • วาดครอบเฉพาะเนื้อเทียน (Body): ให้โซนแคบกว่า ช่วยให้ได้จุดเข้าที่ดีขึ้น แต่ต้องระวังว่าราคาอาจไม่สัมผัสโซนพอดี

รูปแบบ Demand Supply Zone ที่พบบ่อย 4 แบบ

โครงสร้างของโซนสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ โซนกลับตัว (Reversal) และโซนต่อเนื่อง (Continuation) โดยมี 4 รูปแบบย่อย ดังนี้:

  • Drop-Base-Rally (DBR): ราคาตกหนัก สร้างฐาน แล้วดีดตัวขึ้น เป็น Demand Zone แบบกลับตัว
  • Rally-Base-Rally (RBR): ราคาขึ้นแรง พักตัว แล้วขึ้นต่อ เป็น Demand Zone แบบต่อเนื่อง
  • Rally-Base-Drop (RBD): ราคาขึ้นแรง สร้างฐาน แล้วดิ่งลง เป็น Supply Zone แบบกลับตัว
  • Drop-Base-Drop (DBD): ราคาตกหนัก พักตัว แล้วตกต่อ เป็น Supply Zone แบบต่อเนื่อง

รูปแบบเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยระบุทิศทางของราคา แต่ยังบ่งบอกถึงเจตนาของผู้เล่นใหญ่ได้ด้วย เช่น RBR และ DBD บ่งบอกถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่งในทิศทางเดิม ขณะที่ DBR และ RBD บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนทิศทางที่อาจเกิดขึ้น

วิธีประเมินความแข็งแกร่งของ Demand Supply Zone

ไม่ใช่ทุกโซนที่เกิดขึ้นจะมีประสิทธิภาพเท่ากัน การเลือกโซนที่ “มีคุณภาพ” คือกุญแจสำคัญที่แยกเทรดเดอร์มืออาชีพออกจากมือสมัครเล่น ต่อไปนี้คือเกณฑ์หลักที่เทรดเดอร์ระดับสูงใช้ในการกรองโซน:

  • ความรุนแรงของการเคลื่อนตัวออกจากโซน: ยิ่ง Leg-out มีแท่งเทียนยาว แข็งแรง และมีเนื้อเต็มแท่ง ยิ่งแสดงว่ามีแรงซื้อหรือแรงขายมหาศาลอยู่เบื้องหลัง
  • ความ “สดใหม่” ของโซน: โซนที่ยังไม่เคยถูกทดสอบ (Fresh Zone) มีโอกาสทำงานได้ดีกว่าโซนที่ถูกทดสอบมาแล้วหลายครั้ง เพราะคำสั่งที่ค้างอยู่ยังไม่ถูกใช้
  • ระยะเวลาในการสร้างฐาน: ยิ่งราคาใช้เวลาสร้างฐานสั้น (1-3 แท่งเทียน) ยิ่งดี เพราะแสดงถึงการสะสมหรือเทขายอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่การเจรจาซื้อขายกันนาน
  • อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-to-Reward): โซนที่ดีควรให้โอกาสทำกำไรอย่างน้อย 2-3 เท่าของความเสี่ยง เช่น เสี่ยง 10 พ้อย ได้กำไร 20-30 พ้อย
ปัจจัยที่ใช้ประเมิน โซนแข็งแกร่ง (High Probability) โซนอ่อนแอ (Low Probability)
Strength of Move แท่งเทียน Leg-out ยาวและแข็งแรง แท่งเทียน Leg-out สั้นและอ่อนแรง
Freshness โซนยังไม่เคยถูกทดสอบ (Fresh Zone) โซนเคยถูกทดสอบมาแล้วหลายครั้ง
Time at Zone สร้างฐานด้วยแท่งเทียน 1-3 แท่ง สร้างฐานด้วยแท่งเทียนจำนวนมาก (Sideways นาน)
Risk-to-Reward ให้อัตราส่วน RR มากกว่า 1:2 ให้อัตราส่วน RR ต่ำกว่า 1:2

กลยุทธ์การเทรดด้วย Demand Supply Zone สำหรับผู้เริ่มต้น

หลังจากรู้วิธีคัดกรองโซนที่มีคุณภาพ ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนเทรดอย่างเป็นระบบ ซึ่งต้องประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก: จุดเข้า จุดตัดขาดทุน และเป้าหมายทำกำไร

1. จุดเข้า (Entry)

  • Set-and-Forget: ตั้งออเดอร์ล่วงหน้าด้วย Buy Limit ที่ขอบล่างของ Demand Zone หรือ Sell Limit ที่ขอบบนของ Supply Zone เหมาะกับผู้ที่ไม่สามารถเฝ้ากราฟตลอดเวลา
  • Confirmation Entry: รอให้ราคาเข้ามาในโซนก่อน แล้วหาสัญญาณยืนยัน เช่น Pin Bar, Bullish/Bearish Engulfing หรือการเด้งกลับจากไส้เทียนก่อนเข้าเทรด วิธีนี้แม้จะได้ราคาแย่กว่า แต่ช่วยลดความเสี่ยงจาก false breakout

2. จุดตัดขาดทุน (Stop Loss)

ตั้ง Stop Loss ไว้ภายนอกโซนเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเคลียร์โดย noise ของตลาด

  • Demand Zone: ตั้ง Stop Loss ต่ำกว่าขอบล่างของโซนเล็กน้อย
  • Supply Zone: ตั้ง Stop Loss สูงกว่าขอบบนของโซนเล็กน้อย

3. จุดทำกำไร (Take Profit)

เป้าหมายที่สมเหตุสมผลที่สุดคือโซนตรงข้ามที่ใกล้ที่สุด

  • Buy ที่ Demand Zone: ตั้งเป้าหมายที่ Supply Zone ถัดไปด้านบน
  • Sell ที่ Supply Zone: ตั้งเป้าหมายที่ Demand Zone ถัดไปด้านล่าง

นอกจากนี้ ผู้เทรดสามารถแบ่งเป้าหมายออกเป็น 2-3 ช่วง เช่น ปิดครึ่งตำแหน่งที่โซนถัดไป และปล่อยอีกครึ่งเพื่อตามเทรนด์ต่อ ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้กันบ่อยในกลยุทธ์ Moneta Markets ซึ่งเน้นการบริหารความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาว

เครื่องมือช่วยหา Demand Supply Zone ที่น่าใช้

แม้การวาดโซนด้วยตนเองจะช่วยพัฒนาทักษะการอ่านกราฟได้ดีที่สุด แต่สำหรับมือใหม่ การใช้เครื่องมือช่วยก็สามารถเร่งกระบวนการเรียนรู้ได้ โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มอย่าง TradingView ที่มีอินดิเคเตอร์ฟรีและมีประสิทธิภาพหลายตัว ได้แก่:

  • Supply and Demand Zones (LuxAlgo): ตรวจจับโซนอัตโนมัติ พร้อมแสดงระดับความแข็งแกร่งของแต่ละโซน
  • Supply/Demand (Order Blocks): เน้นหาบริเวณที่อาจเป็น Order Block ซึ่งใกล้เคียงกับแนวคิด Demand Supply Zone

คำเตือน: อินดิเคเตอร์เป็นเพียงเครื่องมือช่วยกรองและยืนยัน ไม่ควรถือเป็นคำตอบสุดท้าย การตัดสินใจควรอิงจากการวิเคราะห์โครงสร้างราคาและบริบทโดยรวมของตลาด ไม่ควรพึ่งพาเครื่องมือจนขาดความเข้าใจใน พฤติกรรมราคา (Price Action) ที่แท้จริง

บทสรุป: กลยุทธ์ที่ยึดหลักตลาดจริง

Demand Supply Zone ไม่ใช่เพียงแค่แนวคิดทางเทคนิค แต่เป็นการถอดรหัสพฤติกรรมของผู้เล่นใหญ่ในตลาด ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ขับเคลื่อนราคา ความสำเร็จในการใช้กลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับ 4 ปัจจัยหลัก:

  • ความเข้าใจลึกซึ้ง: ต้องเข้าใจว่าโซนเหล่านี้เกิดจากความไม่สมดุลของคำสั่งซื้อขาย ไม่ใช่แค่จุดกลับตัวทั่วไป
  • การคัดเลือกอย่างมีวิจารณญาณ: ต้องเรียนรู้วิธีกรองโซนที่มีคุณภาพ หลีกเลี่ยงโซนที่ถูกทดสอบบ่อยหรือมี Leg-out อ่อนแอ
  • วินัยในการบริหารความเสี่ยง: ตั้ง Stop Loss และ Take Profit อย่างชัดเจน ใช้ Moneta Markets เป็นต้นแบบในการบริหารพอร์ตที่เน้นความเสถียรและผลตอบแทนสม่ำเสมอ
  • การฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง: ทดลองใช้กลยุทธ์ในบัญชีทดลองก่อนลงทุนจริง เพื่อพัฒนาความไวในการอ่านกราฟและเพิ่มความมั่นใจ

กลยุทธ์นี้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับทุกสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น, ดัชนี, ทองคำ, น้ำมัน หรือ Cryptocurrency เพราะทุกตลาดล้วนขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์และอุปทาน ตราบใดที่ยังมีการซื้อขาย ก็ยังมี Demand และ Supply Zone รออยู่

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Supply Zone กับ Demand Zone ต่างกันอย่างไร?

Demand Zone คือโซนที่แรงซื้อมากกว่าแรงขายอย่างมีนัยสำคัญ เปรียบเสมือนโซนแนวรับที่แข็งแกร่งซึ่งราคาอาจดีดตัวขึ้น ส่วน Supply Zone คือโซนที่แรงขายมากกว่าแรงซื้อ เปรียบเสมือนโซนแนวต้านที่แข็งแกร่งซึ่งราคาอาจกลับตัวลง

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Demand Supply Zone ไหนแข็งแรง?

โซนที่แข็งแรงมักมีลักษณะดังนี้:

  • ราคาพุ่งออกจากโซนอย่างรุนแรง (แท่งเทียนยาว)
  • เป็นโซนที่ยังไม่เคยถูกทดสอบมาก่อน (Fresh Zone)
  • ราคาใช้เวลาสร้างฐานในโซนสั้นๆ (1-3 แท่งเทียน)
  • ให้ Risk-to-Reward Ratio ที่ดี (มากกว่า 1:2)

ควรใช้ Timeframe ไหนในการหา Demand Supply Zone?

สามารถใช้ได้กับทุก Timeframe แต่โซนใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น (เช่น H4, Daily, Weekly) มักจะมีความน่าเชื่อถือและแข็งแกร่งกว่าโซนใน Timeframe เล็ก (เช่น M5, M15) เทรดเดอร์หลายคนนิยมใช้ Timeframe ใหญ่ในการวิเคราะห์หาโซนหลัก และใช้ Timeframe เล็กในการหาจังหวะเข้าเทรดที่ละเอียดขึ้น

ความแตกต่างระหว่าง Demand Supply Zone กับ แนวรับ-แนวต้าน คืออะไร?

แนวรับ-แนวต้านแบบดั้งเดิมมักจะถูกวาดเป็น “เส้น” ที่ราคาเคยมาสัมผัสหลายครั้ง แต่ Demand Supply Zone จะถูกมองเป็น “พื้นที่” หรือ “โซน” ที่เป็นต้นกำเนิดของการเคลื่อนที่ของราคาที่รุนแรง ซึ่งบ่งบอกถึงร่องรอยของคำสั่งซื้อขายจำนวนมากที่ยังไม่ถูกจับคู่ ทำให้มีความน่าเชื่อถือในเชิงลึกมากกว่า

จำเป็นต้องใช้ Indicator ช่วยหา Demand Supply Zone หรือไม่?

ไม่จำเป็น การฝึกฝนหาโซนด้วยตนเองเป็นทักษะที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม Indicator สามารถเป็นเครื่องมือช่วยสำหรับมือใหม่ในการเริ่มต้นและช่วยสแกนหาโซนที่น่าสนใจได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ควรพึ่งพา 100% และควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ด้วยตนเองเสมอ

ถ้าโซนถูกทดสอบหลายครั้งแล้วยังน่าเชื่อถืออยู่ไหม?

ความน่าเชื่อถือจะลดลงทุกครั้งที่โซนถูกทดสอบ เพราะคำสั่งซื้อ/ขายในโซนนั้นจะถูกใช้ไปเรื่อยๆ โซนที่สดใหม่ (Fresh Zone) ที่ยังไม่เคยถูกทดสอบเลยจะมีความน่าเชื่อถือสูงสุด หากโซนถูกทดสอบหลายครั้งแล้ ความเสี่ยงที่ราคาจะทะลุโซนนั้นไปก็จะยิ่งสูงขึ้น

จะทำอย่างไรเมื่อราคาไม่เด้งที่โซนตามที่คาดการณ์?

นี่คือเหตุผลที่การตั้ง Stop Loss เป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากราคาทะลุ (Break) โซนไป แสดงว่าโซนนั้นไม่แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานแรงซื้อหรือแรงขายในขณะนั้นได้ เราต้องยอมรับการขาดทุนตามแผนที่วางไว้ (ที่จุด Stop Loss) และมองหาโอกาสในการเทรดครั้งต่อไป อย่าพยายามเทรดสวนหรือถัวเฉลี่ยเด็ดขาด

สามารถใช้ Demand Supply Zone กับการเทรดทองคำหรือคริปโตได้หรือไม่?

ได้แน่นอน หลักการของ Demand และ Supply เป็นพื้นฐานของทุกตลาดที่มีการซื้อขาย ไม่ว่าจะเป็น Forex, หุ้น, ดัชนี, ทองคำ, น้ำมัน หรือ Cryptocurrency ตราบใดที่กราฟราคานั้นเกิดจากการจับคู่คำสั่งซื้อขายของคนจำนวนมาก ก็สามารถนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งหมด

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *