มูลค่าตลาด คืออะไร ทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ในแบบฉบับนักลงทุนยุคใหม่
เมื่อพูดถึงคำว่า “มูลค่าตลาด” หลายคนอาจเคยได้ยินผ่านหูมาบ้าง โดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยที่เริ่มสนใจการลงทุนในหุ้น แต่แท้จริงแล้ว มูลค่าตลาด (Market Value หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Market Capitalization) ไม่ใช่แค่ตัวเลขธรรมดา แต่คือภาพสะท้อนของมูลค่ารวมทั้งหมดของบริษัทหนึ่ง ที่คำนวณจากราคาซื้อขายหุ้นล่าสุดในตลาดหลักทรัพย์ หากพูดให้เข้าใจง่าย ก็เหมือนกับคุณกำลังถามว่า “ถ้าอยากซื้อบริษัทนี้ทั้งบริษัทในวันนี้ จะต้องจ่ายเงินเท่าไหร่?” คำตอบก็คือตัวเลขมูลค่าตลาดนั่นเอง
แต่สิ่งที่หลายคนอาจยังไม่รู้ คือมูลค่าตลาดไม่ใช่ตัวเลขตายตัว แต่มันเปลี่ยนแปลงได้ทุกวินาทีตามการซื้อขายในตลาดหุ้น ยิ่งหุ้นของบริษัทนั้นมีความนิยมหรือมีข่าวดี ราคาหุ้นก็อาจพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มูลค่าตลาดพุ่งตามไปด้วย นั่นแปลว่า ตัวเลขนี้ไม่ได้บอกแค่ขนาดของบริษัท แต่ยังบ่งบอกถึง “ความเชื่อมั่น” ของนักลงทุนทั้งระบบต่อบริษัทนั้นในปัจจุบันและอนาคตด้วย

สูตรคำนวณมูลค่าตลาด ง่ายนิดเดียว ใครก็ทำได้
การหาค่ามูลค่าตลาดไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิด เพียงแค่รู้ราคาหุ้นล่าสุดและจำนวนหุ้นที่บริษัทออกมาระดับหนึ่ง ก็สามารถคำนวณได้ทันที สิ่งที่คุณต้องใช้มีเพียงสองอย่างเท่านั้น: ราคาหุ้นปัจจุบัน และจำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีการออกและจำหน่ายแล้วในตลาด
สูตรคำนวณมาตรฐาน ใช้ได้กับทุกบริษัท
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทในตลาดหุ้นไทยหรือต่างประเทศ สูตรนี้ถือว่าเป็นมาตรฐานสากล และใช้ได้กับทุกบริษัทที่มีการซื้อขายหุ้นอย่างเป็นทางการ
มูลค่าตลาด = ราคาหุ้นต่อหุ้น × จำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้วทั้งหมด (Outstanding Shares)
- ราคาหุ้นต่อหุ้น (Share Price): คือราคาที่หุ้นของบริษัทนั้นกำลังซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ณ ขณะนั้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาในช่วงเวลาทำการ
- จำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้ว (Outstanding Shares): คือจำนวนหุ้นทั้งหมดที่บริษัทได้ออกมาแล้ว และปัจจุบันถือครองโดยนักลงทุนทั่วไป ผู้บริหาร และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ แต่ไม่รวมหุ้นที่บริษัทซื้อคืนและเก็บไว้ (Treasury Shares)
ตัวอย่างการคำนวณแบบชัดเจน
เพื่อให้เข้าใจภาพรวมมากยิ่งขึ้น มาดูตัวอย่างจากบริษัทสมมติที่มีข้อมูลชัดเจน
บริษัท ABC จำกัด (มหาชน) มีข้อมูลดังนี้:
- ราคาหุ้นล่าสุด: 50 บาท
- จำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายแล้ว: 100 ล้านหุ้น
นำข้อมูลมาใส่ในสูตร:
มูลค่าตลาด = 50 × 100,000,000 = 5,000,000,000 บาท
ดังนั้น มูลค่าตลาดของบริษัท ABC อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท หรือ 5 พันล้านบาทนั่นเอง

เปรียบเทียบหัวใจสำคัญ: มูลค่าตลาด กับ มูลค่าตามบัญชี ต่างกันยังไง?
หลายคนมักสับสนระหว่าง “มูลค่าตลาด” กับ “มูลค่าตามบัญชี” โดยเฉพาะผู้เริ่มต้นลงทุน ทั้งสองตัวเลขนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งในแง่ที่มา วิธีคำนวณ และความหมายที่สื่อออกมา
มูลค่าตามบัญชี คืออะไร?
มูลค่าตามบัญชี (Book Value) เป็นมูลค่าที่คำนวณจากข้อมูลในงบการเงิน โดยเฉพาะงบดุล ซึ่งแสดงถึงสินทรัพย์สุทธิของบริษัท หรือที่เรียกว่า “ส่วนของผู้ถือหุ้น” หากวันหนึ่งบริษัทตัดสินใจยุบเลิกกิจการ ขายทรัพย์สินทั้งหมด และชำระหนี้ครบถ้วน เงินที่เหลืออยู่ก็จะเป็นมูลค่าตามบัญชีที่ตกอยู่กับผู้ถือหุ้น
สูตรการคำนวณ: มูลค่าตามบัญชี = สินทรัพย์รวม – หนี้สินรวม
ซึ่งก็เท่ากับ “ส่วนของผู้ถือหุ้น” ในงบดุลนั่นเอง
ตารางเปรียบเทียบ ช่วยให้เข้าใจต่างกันชัดเจน
เพื่อให้เห็นภาพต่างกันอย่างชัดเจน ลองดูตารางเปรียบเทียบด้านล่างนี้
ประเด็น | มูลค่าตลาด (Market Value) | มูลค่าตามบัญชี (Book Value) |
---|---|---|
แหล่งที่มาของข้อมูล | ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา) | งบการเงินของบริษัท (อัปเดตรายไตรมาส/ปี) |
ความผันผวน | สูงมาก ปรับขึ้น-ลงตามราคาหุ้นรายวัน | ค่อนข้างมั่นคง เปลี่ยนเฉพาะเมื่อออกงบการเงินใหม่ |
สะท้อนอะไร | ความคาดหวัง ศักยภาพการเติบโต และมูลค่าทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ เช่น แบรนด์ | มูลค่าสินทรัพย์สุทธิตามตัวเลขบัญชี ณ เวลานั้น |
การนำไปใช้ | วัดขนาดบริษัท, ดูความนิยมในตลาด, จัดกลุ่มหุ้น (Large-Cap, Mid-Cap) | วิเคราะห์ความมั่นคงทางการเงิน, คำนวณ P/B Ratio |
ทำไมมูลค่าตลาดมักสูงกว่ามูลค่าตามบัญชี?
หากคุณสังเกตงบการเงินของบริษัทชั้นนำ เช่น แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ ปตท. (PTT) คุณจะพบว่า มูลค่าตลาดของพวกเขามักสูงกว่ามูลค่าตามบัญชีหลายเท่าตัว นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะตลาดไม่ได้ประเมินแค่ “ตัวเลขในบัญชี” เท่านั้น แต่ยังรวมถึง “มูลค่าที่จับต้องไม่ได้” หลายอย่าง เช่น
- ชื่อเสียงของแบรนด์: เช่น ความแข็งแกร่งของแบรนด์อย่าง “Coca-Cola” หรือ “Apple” ที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเงินได้ แต่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้า
- ทรัพย์สินทางปัญญา: รวมถึงสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์ที่บริษัทถือครอง
- ฐานลูกค้าและความภักดี: บริษัทที่มีลูกค้าประจำและลูกค้าซื้อซ้ำสูง มักได้รับการประเมินมูลค่าสูงกว่าบริษัทที่เพิ่งเริ่ม
- การเติบโตในอนาคต: นักลงทุนซื้อหุ้นไม่ใช่เพียงเพื่อกำไรปัจจุบัน แต่เพื่อ “ศักยภาพ” ที่บริษัทจะทำกำไรในอนาคต
ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้มูลค่าตลาดเปลี่ยนแปลง?
มูลค่าตลาดไม่ใช่ตัวเลขที่ตั้งไว้แล้วนิ่ง แต่เป็น “ชีวิตที่เต้นรำ” ไปตามปัจจัยหลายอย่าง ทั้งภายในและภายนอกบริษัท ซึ่งนักลงทุนควรทำความเข้าใจให้ดี
- ผลประกอบการ: หากบริษัทประกาศกำไรสูงกว่าที่ตลาดคาด หุ้นมักจะพุ่งขึ้นทันที ส่งผลให้มูลค่าตลาดพุ่งตาม ตรงกันข้าม หากผลประกอบการแย่ แม้บริษัทจะมีฐานะการเงินดี มูลค่าตลาดก็อาจลดลงได้
- ข่าวสารสำคัญ: ไม่ว่าจะเป็นการควบรวมกิจการ การเปลี่ยน CEO หรือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทันที
- สภาวะเศรษฐกิจมหภาค: เช่น อัตราดอกเบี้ยนโยบาย, อัตราเงินเฟ้อ, และการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ล้วนส่งผลต่อแนวโน้มตลาดหุ้นโดยรวม
- อารมณ์ตลาด (Market Sentiment): บางครั้ง หุ้นก็ขึ้นหรือลงไม่ใช่เพราะพื้นฐาน แต่เพราะ “ความกลัว” หรือ “ความโลภ” ของนักลงทุน ซึ่งอาจทำให้มูลค่าตลาดผันผวนเกินจริง
- การเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม: เช่น การเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ หรือกฎระเบียบที่เปลี่ยนไป อาจทำให้บริษัทหนึ่งถูกประเมินมูลค่าสูงขึ้น ขณะที่อีกบริษัทกลับเสียส่วนแบ่งตลาด
ค้นหามูลค่าตลาดได้จากที่ไหน? วิธีง่ายๆ สำหรับมือใหม่
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่อยากทราบมูลค่าตลาดของบริษัทที่สนใจ ไม่ต้องกังวล เพราะข้อมูลนี้หาได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลนี้
- เข้าไปที่ เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) — แหล่งข้อมูลหลักที่เชื่อถือได้ที่สุด
- ใช้ช่องค้นหา ป้อน “ชื่อย่อหุ้น” เช่น PTT, AOT หรือ BBL แล้วกด Enter
- เข้าสู่หน้า “ข้อมูลหลักทรัพย์” หรือ “Factsheet” ของบริษัทนั้น
- มองหาหัวข้อที่ระบุว่า “มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” หรือ “Market Capitalization” — นั่นคือมูลค่าตลาดล่าสุด
นอกจาก SET แล้ว คุณยังสามารถเช็กข้อมูลนี้ได้จากแอปพลิเคชันการลงทุน เช่น SETTRADE, แอป Moneta Markets ที่ให้ข้อมูลเรียลไทม์ หรือเว็บไซต์ข่าวการเงินระดับโลกอย่าง Bloomberg, Reuters หรือ Investing.com ซึ่ง Moneta Markets ก็มีบทวิเคราะห์เปรียบเทียบมูลค่าตลาดของบริษัทชั้นนำในตลาดหลักๆ ทั่วโลก ช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพกว้างและตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น

มูลค่าตลาดสำคัญแค่ไหน? และควรระวังอะไรบ้าง?
มูลค่าตลาดเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนทุกคนควรเข้าใจ แต่ก็ไม่ใช่ “หมุดหมายสุดท้าย” ของการตัดสินใจลงทุน ต้องใช้ควบคู่กับข้อมูลอื่นๆ เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครบถ้วน
ประโยชน์ของการรู้มูลค่าตลาด
- แบ่งประเภทหุ้น: นักลงทุนใช้มูลค่าตลาดแบ่งหุ้นเป็น Large-Cap (ใหญ่), Mid-Cap (กลาง), Small-Cap (เล็ก) เพื่อประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทน
- ประเมินขนาดและความน่าสนใจ: หุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูง มักมีสภาพคล่องดี นักลงทุนสถาบันเข้ามาถือหุ้นมาก และมีข้อมูลวิเคราะห์เพียบ
- สะท้อนความคาดหวังของตลาด: มูลค่าตลาดบอกเราได้ว่า “ตลาดกำลังมองบริษัทนี้ในมุมไหน” ว่าเป็นผู้นำ ผู้ท้าชิง หรือบริษัทที่กำลังตกที่นั่งลำบาก
ข้อควรระวัง: มูลค่าตลาดไม่ได้บอกทุกอย่าง
- ไม่ได้สะท้อนมูลค่าแท้จริงเสมอไป: บางบริษัทอาจมีมูลค่าตลาดสูงเพราะ “ดราม่า” หรือ “กระแส” ชั่วคราว ซึ่งไม่ได้สะท้อนพื้นฐานที่แข็งแรง
- ไม่รวมภาระหนี้สิน: บริษัทที่มีหนี้สินมหาศาล แต่หุ้นราคาแพง อาจไม่ใช่การลงทุนที่ดี มูลค่าตลาดไม่ได้บอกเรื่องนี้ ควรดู มูลค่ากิจการ (Enterprise Value) ประกอบ
- มูลค่าสูง ≠ ลงทุนดี: บริษัทขนาดใหญ่อาจเติบโตช้า ในขณะที่บริษัทขนาดเล็กที่มีศักยภาพสูง กลับให้ผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่า การเลือกหุ้นควรดู “คุณค่า” ไม่ใช่แค่ “ขนาด”
มูลค่าตลาด (Market Value) กับมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) คือสิ่งเดียวกันหรือไม่?
ใช่แล้ว ทั้งสองคำหมายถึงสิ่งเดียวกันทั้งหมด “Market Capitalization” หรือที่ย่อว่า “Market Cap” เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษ ส่วน “มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด” หรือ “มูลค่าตลาด” เป็นคำแปลในภาษาไทยที่ใช้แทนกันได้อย่างสมบูรณ์
มูลค่าตลาดสามารถติดลบได้หรือไม่?
ไม่ได้ เนื่องจากมูลค่าตลาดคำนวณจากผลคูณของราคาหุ้นกับจำนวนหุ้น ซึ่งทั้งสองค่าไม่สามารถติดลบได้ โดยราคาหุ้นต่ำสุดที่เป็นไปได้คือ 0 บาท ดังนั้นมูลค่าตลาดจึงมีค่าตั้งแต่ศูนย์ขึ้นไป และไม่สามารถติดลบได้ในทางทฤษฎี
เราสามารถใช้มูลค่าตลาดในการประเมินบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้หรือไม่?
ไม่สามารถใช้โดยตรงได้ เนื่องจากมูลค่าตลาดอิงกับราคาหุ้นที่มีการซื้อขายในตลาดเปิด สำหรับบริษัทเอกชน (Private Company) จำเป็นต้องใช้วิธีประเมินมูลค่าอื่น เช่น การเปรียบเทียบกับบริษัทที่คล้ายกันในอุตสาหกรรม (Comparable Company Analysis) หรือการคิดลดกระแสเงินสดในอนาคต (Discounted Cash Flow)
มูลค่าตลาดที่สูงหมายถึงบริษัทนั้นดีและน่าลงทุนเสมอไปใช่หรือไม่?
ไม่จำเป็น มูลค่าตลาดสูงบ่งบอกถึงขนาดบริษัทและความเชื่อมั่นจากนักลงทุน แต่ไม่ได้แปลว่าหุ้นนั้น “ถูก” หรือ “คุ้มค่า” ต้องวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าราคาหุ้นสะท้อนความคาดหวังไปมากแล้วหรือยัง รวมถึงพิจารณาอัตราส่วนทางการเงินอื่นๆ ประกอบ
อัตราส่วน P/B (Price-to-Book Value) เกี่ยวข้องกับมูลค่าตลาดและมูลค่าตามบัญชีอย่างไร?
อัตราส่วน P/B หรือ Price-to-Book เป็นการเชื่อมโยงระหว่างมูลค่าตลาดกับมูลค่าตามบัญชี โดยคำนวณจาก P/B = ราคาหุ้น / มูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น หรือ P/B = มูลค่าตลาดรวม / มูลค่าตามบัญชีรวม ซึ่งช่วยให้เห็นว่าหุ้นกำลังซื้อขายกันที่ราคาสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีกี่เท่า
มูลค่าตลาดรวม (Total Market Value) ของตลาดหุ้นคืออะไร?
มูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้น คือ ผลรวมของมูลค่าตลาดของทุกบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดนั้นๆ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือ NASDAQ ใช้เป็นดัชนีชี้วัดขนาดของตลาดหุ้นในประเทศ และมักใช้เปรียบเทียบระหว่างประเทศ
ทำไมราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงจึงส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าตลาด?
เนื่องจากราคาหุ้นเป็นตัวคูณโดยตรงในสูตรคำนวณมูลค่าตลาด แม้ราคาจะเปลี่ยนเพียงเล็กน้อย เช่น เพิ่ม 1 บาท แต่เมื่อนำไปคูณกับจำนวนหุ้นทั้งหมดที่อาจมีหลายสิบหรือหลายร้อยล้านหุ้น มูลค่าตลาดก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้หลายสิบหรือหลายร้อยล้านบาทในทีเดียว
นอกจากการดูมูลค่าตลาดแล้ว ควรดูตัวชี้วัดทางการเงินอะไรประกอบอีกบ้าง?
การวิเคราะห์หุ้นอย่างรอบด้านต้องดูหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น:
- P/E Ratio (Price-to-Earnings Ratio): วัดความถูก-แพงของหุ้นเทียบกับกำไร
- D/E Ratio (Debt-to-Equity Ratio): วัดระดับหนี้สินของบริษัทเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้น
- ROE (Return on Equity): วัดประสิทธิภาพในการสร้างกำไรจากส่วนของผู้ถือหุ้น
- EPS (Earnings Per Share): กำไรสุทธิที่บริษัททำได้ต่อหุ้นหนึ่งหุ้น