บทนำ: เข้าใจให้ลึก ค่าเงินบาทแข็งและอ่อน คืออะไร?
อัตราแลกเปลี่ยนไม่ใช่แค่ตัวเลขที่วิ่งอยู่บนหน้าจอข่าว แต่เป็นแรงขับเคลื่อนที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการที่นำเข้าวัตถุดิบ นักท่องเที่ยวที่วางแผนเดินทาง นักลงทุนที่จับตาตลาด หรือแม้แต่คนทั่วไปที่ซื้อของออนไลน์จากต่างประเทศ ทั้งหมดนี้ล้วนถูกกระทบโดย “ค่าเงินบาท”
คุณอาจเคยได้ยินข่าวว่า “เงินบาทแข็งค่า” หรือ “เงินบาทอ่อนค่า” บ่อยครั้ง แต่ยังไม่แน่ใจว่ามันหมายถึงอะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร ความเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ของค่าเงินสามารถสะท้อนภาพเศรษฐกิจประเทศ และเปลี่ยนแปลงอำนาจซื้อของเราได้โดยไม่ทันตั้งตัว บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมุมของค่าเงินบาท พร้อมตัวอย่างจริง ผลกระทบเชิงลึก และแนวทางปรับตัวอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คุณรับมือกับความผันผวนได้อย่างมั่นใจ

เมื่อ “เงินบาทแข็งค่า” แปลว่าเงินบาทของไทยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก เช่น ดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายถึงเราใช้เงินบาทน้อยลงในการซื้อเงินสกุลต่างประเทศจำนวนเท่าเดิม
เช่น แต่เดิม 1 ดอลลาร์ = 36 บาท แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1 ดอลลาร์ = 34 บาท แสดงว่าเงินบาทแข็งขึ้น เพราะเราใช้บาทน้อยลงเพื่อแลกดอลลาร์หนึ่งหน่วย
ในทางกลับกัน “เงินบาทอ่อนค่า” คือเงินบาทสูญเสียมูลค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น ทำให้เราต้องใช้เงินบาทมากขึ้นเพื่อแลกเงินสกุลเดิมในปริมาณเท่ากัน
ตัวอย่างเช่น จากเดิม 1 ดอลลาร์ = 36 บาท เปลี่ยนเป็น 1 ดอลลาร์ = 38 บาท สถานการณ์นี้เรียกว่าเงินบาทอ่อนค่าลงอย่างชัดเจน
อะไรคือแรงผลักดันที่ทำให้ค่าเงินบาทขยับ?
การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินไม่ใช่เหตุการณ์สุ่ม แต่เกิดจากกลไกตลาดโลกที่สะท้อนอุปสงค์และอุปทานของเงินบาทโดยตรง หลายปัจจัยมารวมกันจนเกิดแรงดันให้ค่าเงินขึ้นหรือลง ซึ่งเข้าใจง่ายที่สุดคือ “เมื่อมีคนต้องการซื้อเงินบาทมากขึ้น เงินบาทก็มีมูลค่าเพิ่ม”
อัตราดอกเบี้ยนโยบาย: คีย์สำคัญของกระแสเงินทุน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักในการควบคุมเศรษฐกิจ หาก ธปท. ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นเงินบาท เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือเงินฝาก ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย นักลงทุนต่างชาติจึงมีแรงจูงใจนำเงินเข้ามาในประเทศเพื่อรับผลตอบแทนที่ดีกว่า ส่งผลให้ความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้น และผลักดันให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
ในทางกลับกัน หากอัตราดอกเบี้ยลดลง ความน่าสนใจของสินทรัพย์ไทยลดลง นักลงทุนอาจเลือกย้ายเงินไปลงทุนในประเทศอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ทำให้เงินทุนไหลออก และเงินบาทอ่อนค่าตามมา
การไหลเข้า-ออกของเงินทุนต่างชาติ
กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วในยุคโลกาภิวัตน์ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่มีผลทันทีต่อค่าเงิน หากมีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เช่น บริษัทญี่ปุ่นมาตั้งโรงงานในไทย หรือกองทุนต่างประเทศเข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พวกเขาจำเป็นต้องแลกเงินสกุลดอลลาร์หรือยูโรเป็นเงินบาทเพื่อทำธุรกรรม ส่งผลให้ความต้องการเงินบาทเพิ่มขึ้นและมีแนวโน้มให้ค่าเงินแข็งค่า
ทว่า หากเกิดความกังวลในตลาดโลก หรือเศรษฐกิจไทยมีสัญญาณเสี่ยง เช่น ความไม่แน่นอนทางการเมือง นักลงทุนอาจเริ่มขายสินทรัพย์และนำเงินออกไป ทำให้เงินทุนไหลออกอย่างรวดเร็ว จนกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง
ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด: สะท้อนความแข็งแรงของเศรษฐกิจ
หากไทยส่งออกมากกว่านำเข้า หรือมี “เกินดุลการค้า” นั่นหมายถึงบริษัทไทยได้รับเงินตราต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะนำมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อจ่ายค่าแรง ค่าผลิต ฯลฯ ทำให้ความต้องการเงินบาทในระบบเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าได้
แต่หากนำเข้าเกินส่งออก (ขาดดุลการค้า) จะมีการใช้เงินบาทแลกเป็นเงินสกุลต่างประเทศมากขึ้นเพื่อชำระค่าสินค้า ทำให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง เช่นเดียวกัน ดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งรวมรายได้จากภาคการท่องเที่ยวและบริการต่างๆ ก็เป็นปัจจัยสำคัญ หากดุลนี้เกินดุล ก็มักช่วยหนุนค่าเงินบาทให้แข็งแรง
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง: ความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ความมั่นคงของประเทศเป็นรากฐานสำคัญ นักลงทุนทั่วโลกต่างมองหา “ความปลอดภัย” ประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง การเมืองไม่ผันผวน และมีนโยบายเศรษฐกิจชัดเจน มักดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากกว่า ในทางกลับกัน หากเกิดวิกฤตการเมือง หรือเศรษฐกิจชะลอตัวจนน่ากังวล ความเชื่อมั่นอาจลดลง จนนำไปสู่การถอนเงินทุนและการอ่อนค่าของค่าเงิน
ภาคการท่องเที่ยว: แหล่งรายได้จากเงินตราต่างประเทศ
การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจไทย เมื่อนักท่องเที่ยวจากจีน ยุโรป หรืออเมริกามาเยือนประเทศไทย พวกเขาจะต้องแลกเงินของตัวเองเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร ค่าที่พัก หรือของฝาก ทุกการแลกเงินคือการเพิ่ม “อุปสงค์” ต่อเงินบาทโดยตรง

ยิ่งมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะ จำนวนเงินที่แลกเป็นบาทก็ยิ่งมาก ส่งผลให้ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหลังวิกฤต เช่น หลังโควิด-19 ค่าเงินบาทก็มักได้รับแรงหนุนจากปัจจัยนี้
เมื่อเงินบาทแข็งค่า: ใครยิ้ม ใครร้อง?
การแข็งค่าของค่าเงินไม่ใช่เรื่องดีหรือร้ายสำหรับทุกคนในเวลาเดียวกัน แต่เป็น “การกระจายผลประโยชน์” ที่ชัดเจน
กลุ่มที่ได้ประโยชน์
- ผู้นำเข้าสินค้า: ไม่ว่าจะเป็นผู้นำเข้ารถยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือวัตถุดิบอุตสาหกรรม ต่างได้ประโยชน์จากการที่เงินบาทแข็งขึ้น เพราะใช้เงินบาทน้อยลงเพื่อซื้อสินค้าราคาเดิมในสกุลต่างประเทศ ต้นทุนลดลง อาจส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศถูกลงหรือกำไรเพิ่มขึ้น
- ผู้มีหนี้ต่างประเทศ: ไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือบุคคลที่กู้ยืมในสกุลเงินดอลลาร์ ยูโร หรือเยน เมื่อเงินบาทแข็งขึ้น พวกเขาจะต้องใช้เงินบาทน้อยลงในการชำระหนี้ ภาระหนี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
- นักเดินทางไทยไปต่างประเทศ: กำลังซื้อเพิ่มขึ้นทันที ด้วยเงินบาทจำนวนเดิม คุณสามารถแลกเงินสกุลต่างประเทศได้มากขึ้น ทั้งค่าที่พัก ค่าอาหาร หรือแม้แต่การช้อปปิ้ง ล้วนถูกลงเมื่อเทียบกับเงินในกระเป๋า
- นักลงทุนที่ลงทุนต่างประเทศ: ไม่ว่าจะซื้อกองทุนต่างประเทศหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างแดน การที่เงินบาทแข็งขึ้นช่วยให้ต้นทุนการลงทุนลดลง
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ
- ผู้ส่งออก: คือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เมื่อบริษัทขายสินค้าให้ลูกค้าต่างชาติในราคา 100 ดอลลาร์ และได้รับเงินมาแล้วนำมาแลกเป็นเงินบาท แต่ถ้าเงินบาทแข็งขึ้น รายได้ที่ได้รับในรูปของบาทจะลดลง กำไรจึงหดหาย แม้รายได้ในดอลลาร์จะเท่าเดิม
- อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ: เมื่อเงินบาทแข็งขึ้น นักท่องเที่ยวต่างชาติจะรู้สึกว่า “ไทยแพงขึ้น” เมื่อเทียบกับเงินในกระเป๋าของพวกเขา อาจส่งผลให้ตัดสินใจลดจำนวนวัน หรือเลือกประเทศอื่นแทน กระทบต่อรายได้ของโรงแรม ร้านอาหาร ไกด์ท้องถิ่น
- แรงงานไทยในต่างประเทศ: แม้จะได้รับเงินเดือนเท่าเดิมในสกุลเงินต่างประเทศ แต่เมื่อส่งกลับมาแลกเป็นเงินบาท จำนวนที่ครอบครัวได้รับจะลดลง
- เกษตรกรผู้ส่งออก: เช่น ชาวนา ชาวสวนยาง หรือผู้ผลิตมันสำปะหลัง ที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศ เมื่อเงินบาทแข็ง รายได้ที่ได้รับเมื่อแปลงกลับเป็นบาทก็จะลดลงตามไปด้วย
เมื่อเงินบาทอ่อนค่า: สถานการณ์พลิกผัน
ในทางกลับกัน การอ่อนค่าของค่าเงินก็เปลี่ยนแปลง “ผู้ชนะ” และ “ผู้แพ้” อย่างสิ้นเชิง
กลุ่มที่ได้ประโยชน์
- ผู้ส่งออก: คือผู้ได้ประโยชน์โดยตรง เพราะเมื่อได้รับเงินต่างประเทศแล้วนำมาแลกเป็นเงินบาท จะได้เงินมากขึ้น ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น และสินค้าไทยก็มีข้อได้เปรียบด้านราคาในตลาดโลก ช่วยกระตุ้นยอดขาย
- ภาคการท่องเที่ยว: ไทยกลายเป็น “ดีลคุ้มค่า” สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพราะเงินของพวกเขามีอำนาจซื้อสูงขึ้นในประเทศไทย ส่งผลให้จำนวนผู้เดินทางเพิ่มขึ้น การใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจท้องถิ่นได้รับอานิสงส์
- ธุรกิจที่ได้รายได้เป็นสกุลต่างประเทศ: เช่น โรงพยาบาลที่รับคนไข้ชาวต่างชาติ โรงเรียนนานาชาติ หรือบริษัทที่ให้บริการดิจิทัลต่อลูกค้าต่างประเทศ รายได้ของพวกเขาเมื่อแปลงเป็นเงินบาทจะเพิ่มขึ้นทันที
กลุ่มที่ได้รับผลกระทบ
- ผู้นำเข้า: ต้นทุนการสั่งซื้อสินค้าและวัตถุดิบเพิ่มขึ้นทันที ส่งผลให้กำไรหดตัว และอาจจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าในประเทศ กระทบผู้บริโภคโดยตรง
- ผู้บริโภคทั่วไป: คุณจะรู้สึกได้ทันทีกับราคาสินค้านำเข้าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องพึ่งพาการนำเข้า เช่น น้ำมัน เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสินค้าแบรนด์เนม ความเสี่ยงสูงสุดคือการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ
- ผู้มีหนี้ต่างประเทศ: ต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการชำระหนี้เดิม ภาระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งอาจกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงิน
- นักเดินทางไปต่างประเทศ: ต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกเงินสกุลต่างประเทศ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางพุ่งสูงขึ้น อาจต้องปรับแผนการท่องเที่ยว

สถานการณ์ | กลุ่มที่ได้ประโยชน์ | กลุ่มที่เสียประโยชน์ |
---|---|---|
เงินบาทแข็งค่า | ผู้นำเข้า, ผู้มีหนี้ต่างประเทศ, คนเดินทางไปต่างประเทศ, นักลงทุนในต่างแดน | ผู้ส่งออก, ภาคการท่องเที่ยว, เกษตรกร, คนทำงานส่งเงินกลับไทย |
เงินบาทอ่อนค่า | ผู้ส่งออก, ภาคการท่องเที่ยว, ธุรกิจรับรายได้เป็นเงินต่างประเทศ | ผู้นำเข้า, ประชาชนทั่วไป (ราคาสินค้าแพงขึ้น), ผู้มีหนี้ต่างประเทศ, คนเดินทางไปต่างประเทศ |
รับมืออย่างชาญฉลาด: กลยุทธ์ปรับตัวกับความผันผวนของค่าเงิน
การเข้าใจผลกระทบเป็นเพียงก้าวแรก การวางแผนและปรับตัวอย่างมีกลยุทธ์จึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงและใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
สำหรับภาคธุรกิจ (ผู้ส่งออกและผู้นำเข้า)
ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนคือความเสี่ยงทางการเงินที่ส่งผลต่อต้นทุนและกำไรโดยตรง ดังนั้น การใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดความเสี่ยง (Hedging) จึงเป็นทางออกที่ชาญฉลาด
- สัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract): ทำสัญญากับธนาคารเพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต เช่น ธุรกิจส่งออกทำสัญญาว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้าจะขายดอลลาร์ในอัตรา 35 บาทต่อดอลลาร์ แม้ค่าเงินจะผันผวน บริษัทก็ยังได้รายรับที่แน่นอน
- ออปชั่น (Options): ซื้อสิทธิ์ แต่ไม่ใช่หน้าที่ ในการซื้อหรือขายเงินตราในอัตราที่กำหนดไว้ หากค่าเงินเคลื่อนไปในทิศทางที่ไม่ดี ก็ใช้สิทธิ์นี้ แต่หากค่าเงินเป็นใจ ก็สามารถปล่อยให้สัญญาหมดอายุแล้วทำตามตลาดได้ มีความยืดหยุ่นสูงกว่า Forward Contract แต่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อสิทธิ์
บริษัทอย่าง Moneta Markets ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการโซลูชันด้านการเงินสำหรับธุรกิจส่งออกนำเข้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็มีการนำเสนอแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะ SMEs ที่ต้องการเครื่องมือที่ใช้ง่ายและต้นทุนต่ำ
สำหรับนักลงทุน
ค่าเงินบาทมีอิทธิพลต่อแนวโน้มตลาดหุ้น โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มส่งออก นำเข้า และบริการต่างประเทศ นักลงทุนสามารถใช้จังหวะนี้สร้างผลตอบแทนได้
- กระจายความเสี่ยง (Diversification): อย่าลงทุนทั้งหมดในสินทรัพย์ประเภทเดียว ควรแบ่งพอร์ตระหว่างหุ้นไทยและต่างประเทศ หรือระหว่างสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินแข็งและอ่อน
- ปรับพอร์ตตามแนวโน้มค่าเงิน:
- เงินบาทแข็งค่า: พิจารณาหุ้นกลุ่มนำเข้า เช่น สายการบิน (ต้นทุนน้ำมันนำเข้าลดลง), กลุ่มพลังงาน, หรือร้านค้าปลีกที่นำเข้าสินค้าแบรนด์เนม
- เงินบาทอ่อนค่า: เน้นหุ้นกลุ่มส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, อาหารทะเล, ยางพารา, รวมถึงธุรกิจท่องเที่ยวและโรงพยาบาลที่รับลูกค้าต่างชาติ
นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและผลกระทบต่อตลาดทุนได้จาก เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล
สำหรับบุคคลทั่วไป
แม้คุณจะไม่ได้เป็นนักลงทุนหรือผู้ประกอบการ การวางแผนเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถช่วยคุณรับมือกับความผันผวนของค่าเงินได้
- วางแผนเดินทางล่วงหน้า: ติดตามแนวโน้มค่าเงิน หากคาดว่าเงินบาทจะแข็งขึ้น อาจเป็นโอกาสที่ดีในการแลกเงินต่างประเทศเก็บไว้ก่อนเดินทาง
- ช้อปปิ้งตามจังหวะค่าเงิน: ในช่วงที่เงินบาทแข็ง ลองพิจารณาซื้อสินค้านำเข้า เช่น กล้อง สมาร์ทโฟน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะราคาจะถูกลง
- ออมและลงทุนอย่างชาญฉลาด: พิจารณาเปิดบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ (FCD) หรือลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงและอาจได้รับผลตอบแทนจากอัตราแลกเปลี่ยน
บทสรุป: ค่าเงินที่เสถียร คือหัวใจของเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
จะเห็นได้ว่า ทั้งการแข็งค่าและอ่อนค่าของเงินบาทต่างมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ในกลุ่มใด ไม่มีสถานการณ์ไหนที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายในเวลาเดียวกัน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเสถียรภาพของเศรษฐกิจชาติ คือ “ความสมดุล” และ “เสถียรภาพ” ของค่าเงินบาท ค่าเงินที่ไม่ผันผวนอย่างรุนแรงจะช่วยให้ภาคธุรกิจวางแผนการผลิต ตั้งราคา และจัดการต้นทุนได้อย่างมั่นใจ นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้โดยไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ธนาคารแห่งประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งหรืออ่อนเกินไปจนกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยใช้ทั้งนโยบายการเงิน การแทรกแซงตลาด และการสื่อสารกับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสมดุลนี้ไว้ให้ได้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
เงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่า แบบไหนส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่ากัน?
ไม่มีคำตอบที่ตายตัว เพราะทั้งสองสถานการณ์มีทั้งผู้ได้และเสียประโยชน์แตกต่างกันไป สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจโดยรวมคือ “ค่าเงินที่มีเสถียรภาพ” ไม่ผันผวนรุนแรง เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถวางแผนและปรับตัวได้ทัน
ค่าเงินบาทแข็งค่ามีผลกระทบต่อหนี้สาธารณะของประเทศอย่างไร?
หากหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินต่างประเทศ การที่เงินบาทแข็งค่าจะส่งผลดี เพราะรัฐบาลจะใช้เงินบาทน้อยลงในการชำระคืนหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ทำให้ภาระหนี้ของประเทศลดลงในรูปของเงินบาท
ทำไมเวลาเงินบาทอ่อนค่า ราคาน้ำมันในประเทศถึงสูงขึ้น?
เนื่องจากประเทศไทยนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยการซื้อขายในตลาดโลกจะใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้เราต้องใช้เงินบาทมากขึ้นเพื่อซื้อน้ำมันในปริมาณเท่าเดิม ส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสูงขึ้นและสะท้อนมายังราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศที่แพงขึ้นตามไปด้วย
นักลงทุนรายย่อยควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไรเมื่อค่าเงินบาทผันผวน?
กลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการ “กระจายความเสี่ยง” (Diversification) โดยไม่ลงทุนในสินทรัพย์ประเภทเดียวหรือประเทศเดียว ควรจัดสรรเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่หลากหลาย เช่น หุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินที่ต่างกัน (ส่งออก/นำเข้า) หรือแบ่งเงินไปลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนรวม เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงินบาท
เงินบาทแข็งค่ากระทบต่อรายได้ของเกษตรกรที่ส่งออกสินค้าหรือไม่?
ใช่ กระทบโดยตรง เกษตรกรที่ปลูกพืชผลเพื่อการส่งออก เช่น ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับผู้ส่งออกทั่วไป เมื่อเงินบาทแข็งค่า รายได้จากการขายสินค้าในสกุลเงินต่างประเทศเมื่อแลกกลับมาเป็นเงินบาทจะลดน้อยลง ทำให้รายได้ของเกษตรกรลดลง
การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นใช่หรือไม่?
โดยทั่วไปแล้วใช่ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศมากขึ้น และนำเงินสกุลต่างประเทศมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อใช้จ่าย ทำให้ความต้องการเงินบาท (Demand) ในระบบสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้
มีวิธีใดบ้างที่ธุรกิจขนาดเล็กจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้?
ธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) สามารถใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงได้เช่นกัน โดยวิธีที่ง่ายที่สุดคือการทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า (Forward Contract) กับธนาคารพาณิชย์ หรืออาจพิจารณาเปิดบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศ (FCD) เพื่อบริหารจัดการรายรับ-รายจ่ายที่เป็นเงินตราต่างประเทศให้คล่องตัวขึ้น ลดความจำเป็นในการแลกเปลี่ยนเงินบ่อยครั้ง
ค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงส่งผลต่อเงินเฟ้อในประเทศอย่างไร?
มีความสัมพันธ์กันโดยตรง หาก “เงินบาทอ่อนค่า” จะทำให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้า วัตถุดิบ และพลังงานสูงขึ้น ผู้ผลิตอาจต้องปรับราคาสินค้าขึ้น ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ (Inflation) ในประเทศปรับตัวสูงขึ้นได้ ในทางกลับกัน หาก “เงินบาทแข็งค่า” จะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจากสินค้านำเข้าได้ ดูข้อมูลเพิ่มเติมจากบทวิเคราะห์ของ SCB EIC