Leverage เทคนิคการลงทุนที่คุณต้องรู้ใน 2 นาที

สารบัญ

Leverage คืออะไร? เข้าใจหลักการในไม่กี่นาที

หากคุณเคยได้ยินคำว่า “Leverage” ในโลกของการลงทุน แต่ยังไม่แน่ใจว่ามันหมายถึงอะไร ลองจินตนาการว่าคุณต้องยกหินก้อนใหญ่ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ด้วยกำลังมือเพียงอย่างเดียว แล้วคุณใช้คานงัดมาช่วย แค่ออกแรงเล็กน้อย ก็สามารถยกหินก้อนใหญ่ขึ้นได้ — นี่คือแก่นแท้ของ “Leverage” หรือ “เงินกู้เพื่อเพิ่มอำนาจการลงทุน” ที่ใช้ในตลาดการเงิน

Leverage คือการใช้เงินทุนที่ยืมมาเพื่อเพิ่มศักยภาพในการควบคุมสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินสดที่คุณมีอยู่จริง กล่าวง่ายๆ คือ คุณใช้เงินตัวเองเพียงส่วนหนึ่ง แล้วอาศัยการกู้ยืมจากโบรกเกอร์เพื่อเพิ่มขนาดของการลงทุน ซึ่งช่วยให้คุณได้รับผลตอบแทนมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

เครื่องมือนี้เปรียบได้กับการต่อ “เกียร์” ให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณ ทำให้การเปลี่ยนแปลงราคาเพียงเล็กน้อยของสินทรัพย์ก็สามารถส่งผลต่อผลกำไรหรือขาดทุนในบัญชีของคุณได้อย่างมีนัยสำคัญ

ภาพประกอบแนวคิด Leverage ในการลงทุน

กลไกการทำงานของ Leverage และคำศัพท์ที่ต้องรู้

เพื่อให้เข้าใจ Leverage ได้อย่างแท้จริง สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจ “Margin” หรือ “เงินประกัน” ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ทำให้การใช้ Leverage เป็นไปได้ เพราะทุกครั้งที่คุณใช้เลเวอเรจ โบรกเกอร์จะต้องมีหลักประกันบางส่วนจากคุณเพื่อควบคุมความเสี่ยง

Leverage ทำงานอย่างไร? เข้าใจด้วยตัวอย่างจริง

Leverage ช่วยเพิ่มกำลังซื้อของคุณตาม “อัตราส่วน” ที่กำหนด เช่น 1:10, 1:100 หรือ 1:500 แปลว่า ทุก 1 บาทที่คุณมี คุณสามารถควบคุมสินทรัพย์ได้มากถึง 10, 100 หรือ 500 บาท ตามลำดับ

ตัวอย่างประกอบ:

สมมติว่าคุณมีเงิน 10,000 บาท และเลือกใช้ Leverage 1:10

  • กำลังซื้อที่ได้รับ: 10,000 × 10 = 100,000 บาท
  • คุณสามารถเปิดสถานะการลงทุนในสินทรัพย์มูลค่า 100,000 บาท ได้ทันที

เมื่อราคาเคลื่อนไหว:

  • กำไร 5%: มูลค่าพอร์ตกลายเป็น 105,000 บาท → กำไร 5,000 บาท (คิดเป็น 50% ของเงินตัวเอง)
  • ขาดทุน 5%: มูลค่าพอร์ตเหลือ 95,000 บาท → ขาดทุน 5,000 บาท (50% ของเงินตัวเอง)

จะเห็นได้ว่า Leverage ไม่เพียงขยายผลกำไร แต่ยังขยายผลขาดทุนในอัตราส่วนเดียวกัน ดังนั้นการใช้มันจึงต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุม

ภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Margin และ Leverage

Margin คืออะไร? ทำไมถึงเกี่ยวข้องกับ Leverage?

Margin หรือ “เงินประกัน” คือจำนวนเงินที่คุณต้องวางไว้กับโบรกเกอร์เพื่อเปิดสถานะด้วยเลเวอเรจ ไม่ใช่ค่าธรรมเนียม แต่เป็นเงินทุนจริงของคุณที่ถูกใช้ค้ำประกันเพื่อรองรับความเสี่ยงจากการขาดทุน

Leverage และ Margin มีความสัมพันธ์กันแบบกลับด้านกันอย่างชัดเจน:

  • Leverage สูง → ใช้ Margin น้อยลง ตัวอย่างเช่น Leverage 1:100 ต้องใช้ Margin เพียง 1% ของมูลค่าสัญญา
  • Leverage ต่ำ → ใช้ Margin สูงขึ้น เช่น Leverage 1:10 ต้องใช้ 10% ของมูลค่าสัญญา

ดังนั้น Leverage จึงกำหนดว่าคุณสามารถขยายกำลังซื้อได้มากแค่ไหน ส่วน Margin คือเงินจริงที่คุณต้องมีเพื่อรองรับการลงทุนนั้น ทั้งสองอย่างจึงไม่สามารถแยกจากกันได้ในโลกของการเทรด

ข้อดี-ข้อเสีย ของ Leverage ที่นักลงทุนต้องเข้าใจ

Leverage เปรียบเสมือนดาบสองคม — ถ้าใช้เป็น อาจสร้างผลตอบแทนมหาศาล แต่ถ้าใช้ผิด ก็อาจทำลายพอร์ตได้ภายในไม่กี่วินาที การเข้าใจทั้งด้านบวกและด้านลบจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ข้อดี: โอกาสในการเพิ่มผลตอบแทน

ประโยชน์หลักของ Leverage คือการเพิ่มผลตอบแทนจากเงินลงทุนเดิม โดยเฉพาะเมื่อตลาดเคลื่อนไหวตามที่คาดการณ์ไว้

  • เพิ่มกำลังซื้อทันที: แม้มีเงินทุนน้อย ก็สามารถเข้าถึงการลงทุนในขนาดใหญ่ได้ ทำให้แม้ราคาขยับเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างกำไรที่มีนัยสำคัญ
  • ใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ: แทนที่จะใช้เงินทั้งหมดกับการซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์เพียงรายการเดียว Leverage ช่วยให้คุณคงเงินทุนส่วนหนึ่งไว้สำหรับกระจายความเสี่ยง
  • เข้าถึงตลาดที่มีอุปสรรคสูง: ตลาดเช่น Forex หรือฟิวเจอร์ส มักต้องการทุนมาก Leverage จึงเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรายย่อยสามารถเข้าร่วมได้

ตัวอย่างเช่น Moneta Markets ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ที่ได้รับความนิยมในหมู่เทรดเดอร์ชาวไทย ให้บริการ Leverage สูงถึง 1:1000 ในตลาด Forex พร้อมเงื่อนไข Margin ที่ยืดหยุ่น และโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่โปร่งใส ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถปรับแต่งกลยุทธ์ได้ตามสไตล์ของตนเอง

ข้อเสีย: ความเสี่ยงที่ตามมา

Leverage ไม่ใช่ทางลัดสู่ความร่ำรวย หากใช้โดยขาดความเข้าใจ มันอาจกลายเป็นกับดักทางการเงิน

  • ขยายผลขาดทุน: ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในทิศทางราคาอาจทำให้ขาดทุนทันทีในอัตราส่วนที่สูง
  • ความเสี่ยงต่อการขาดทุนเกินเงินทุน: ในบางกรณี หากไม่มีระบบป้องกัน คุณอาจขาดทุนเกินกว่าเงินในบัญชี แม้ปัจจุบันโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ เช่น Moneta Markets จะมีนโยบาย Negative Balance Protection เพื่อป้องกันสถานการณ์นี้
  • Margin Call และ Stop Out: เมื่อพอร์ตของคุณเสียหายจนเหลือเงินประกันไม่เพียงพอ โบรกเกอร์จะส่งแจ้งเตือนให้เติมเงิน หากไม่ดำเนินการ ตำแหน่งจะถูกปิดอัตโนมัติ ซึ่งมักหมายถึงการสูญเสียเงินทุนเกือบทั้งหมด

Leverage 1:100, 1:500, 1:1000 ต่างกันอย่างไร?

นักลงทุนมือใหม่มักสับสนกับตัวเลข Leverage ที่แตกต่างกัน การเข้าใจความหมายของแต่ละระดับจึงสำคัญต่อการตัดสินใจใช้เครื่องมือนี้อย่างปลอดภัย

Leverage 1:100 คืออะไร?

เป็นอัตราที่นิยมใช้ในกลุ่มนักเทรดที่ต้องการสมดุลระหว่างโอกาสและความเสี่ยง โดยทุก 1 บาทที่ใช้เป็น Margin จะสามารถควบคุมสินทรัพย์ได้ 100 บาท ตัวอย่าง: วาง Margin 1,000 บาท → สามารถเทรดได้ 100,000 บาท ถือว่าเหมาะสมกับการเริ่มต้นและใช้ในตลาดที่มีความผันผวนปานกลาง

Leverage 1:500 คืออะไร?

ระดับนี้ให้กำลังซื้อมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ใช้ Margin เพียง 0.2% ของมูลค่าสัญญา ตัวอย่าง: มี 1,000 บาท → สามารถเปิดสถานะ 500,000 บาท ซึ่งเหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ แต่ต้องจัดการความเสี่ยงอย่างเข้มงวด เพราะราคาขยับเพียง 0.2% ก็อาจทำให้พอร์ตขาดทุน 10%

Leverage 1:1000 เหมาะกับใคร?

นี่คือระดับสูงสุดที่มีความเสี่ยงมากที่สุด ทุก 1 บาทสามารถควบคุมสินทรัพย์ได้ 1,000 บาท ซึ่งหมายถึงการใช้ Margin เพียง 0.1% ของมูลค่าสัญญา การเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพียง 0.1% อาจทำให้พอร์ตสั่นคลอนทันที ดังนั้น Leverage ระดับนี้จึงเหมาะสำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์สูง มีระบบบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน และเลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้ เช่น Moneta Markets ที่ให้ Leverage สูงพร้อมเครื่องมือบริหารความเสี่ยงครบวงจร

ภาพแสดงการลงทุนด้วย Leverage และการจัดการความเสี่ยง

Leverage ในแต่ละตลาดการลงทุน มีความต่างกันอย่างไร?

Leverage ไม่ได้เหมือนกันในทุกตลาด การทำความเข้าใจบริบทเฉพาะของแต่ละตลาดจะช่วยให้คุณใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างเหมาะสม

Leverage ในตลาดหุ้น (Stock)

ในตลาดหุ้นไทย การใช้ Leverage ทำได้ผ่านบริการ Credit Balance หรือที่เรียกว่า “บัญชีมาร์จิ้น” ซึ่งนักลงทุนยืมเงินจากบริษัทหลักทรัพย์เพื่อซื้อหุ้นเพิ่ม โดยใช้หุ้นในพอร์ตเป็นหลักประกัน อัตรา Leverage มักอยู่ที่ 1:1 หรือ 1:2 ตามที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) กำหนด ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำกว่าตลาดอื่น เพราะการควบคุมโดยหน่วยงานกำกับดูแลเข้มงวด

Leverage ในตลาด TFEX (ฟิวเจอร์ส)

ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีลักษณะ Leverage โดยธรรมชาติ นักลงทุนไม่ต้องจ่ายเต็มจำนวนมูลค่าสัญญา แต่เพียงวาง เงินประกันขั้นต้น (Initial Margin) ซึ่งมักเป็นเพียง 5-10% ของมูลค่าสัญญา ตัวอย่าง สัญญา SET50 Futures มูลค่า 200,000 บาท อาจใช้ Margin เพียง 15,000 บาท ทำให้มีอัตรา Leverage ประมาณ 1:10 ถึง 1:15 ความผันผวนสูง จึงต้องใช้กลยุทธ์ Stop Loss อย่างเคร่งครัด

Leverage ในตลาด Forex

ตลาด Forex เป็นหนึ่งในตลาดที่ใช้ Leverage สูงที่สุด โดยโบรกเกอร์หลายแห่งเสนออัตรา 1:100 ถึง 1:1000 หรือแม้แต่สูงกว่านั้น สาเหตุเพราะอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินมีความผันผวนต่ำต่อวัน (วัดเป็น Pip) การใช้ Leverage จึงช่วยให้การเคลื่อนไหวเล็กน้อยกลายเป็นกำไรที่มีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Investopedia ชี้ให้เห็นว่า Leverage สูงมาพร้อมกับความเสี่ยงมหาศาล นักลงทุนต้องมีความเข้าใจในเครื่องมือบริหารความเสี่ยงอย่างเต็มที่

กลยุทธ์ใช้ Leverage อย่างชาญฉลาดและปลอดภัย

การใช้ Leverage ไม่ใช่แค่เรื่องอัตรา แต่คือเรื่องของ “วินัย” และ “การจัดการความเสี่ยง” ที่ดี นี่คือแนวทางที่นักลงทุนควรนำไปปรับใช้

  • เริ่มจาก Leverage ต่ำ: มือใหม่ควรเริ่มที่ 1:10 หรือ 1:20 เพื่อเรียนรู้ผลกระทบของการใช้เลเวอเรจต่อพอร์ต ก่อนค่อยๆ เพิ่มระดับเมื่อมีประสบการณ์
  • ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง: คำสั่งตัดขาดทุนอัตโนมัติคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด ช่วยป้องกันไม่ให้ความผิดพลาดเล็กๆ กลายเป็นหายนะ
  • ควบคุมขนาดสถานะ (Position Sizing): นักเทรดมืออาชีพมักเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง แม้ใช้ Leverage สูง ก็ยังสามารถรักษาพอร์ตให้มั่นคงได้
  • หลีกเลี่ยงการ Overtrade: การเปิดสถานะบ่อยเกินไปโดยไม่มีแผน ร่วมกับ Leverage สูง เป็นหนทางที่เร็วที่สุดสู่การสูญเสียทั้งหมด
  • รู้ว่า Leverage ไม่ใช่ตัวทำกำไร: มันเป็นแค่เครื่องมือขยายผล ไม่ว่าจะเป็นกำไรหรือขาดทุน ความสำเร็จยังขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ตลาด วินัย และการบริหารจัดการ

การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยให้คุณใช้ Leverage ได้อย่างยั่งยืน ตามที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เน้นย้ำว่า นักลงทุนควรได้รับความรู้เพียงพอเพื่อจัดการกับสินทรัพย์ที่มีความซับซ้อนเช่นนี้

สรุป: Leverage คือดาบสองคม ใช้ดี ได้ผล; ใช้ผิด ขาดทุน

Leverage คือเครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลัง ช่วยให้คุณสามารถควบคุมสินทรัพย์ขนาดใหญ่ด้วยเงินทุนน้อย ทำให้มีโอกาสทำกำไรสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็ขยายความเสี่ยงอย่างเท่าเทียมกัน

ความสำเร็จในการใช้ Leverage ไม่ได้อยู่ที่การเลือกอัตราสูงสุด แต่อยู่ที่ความเข้าใจในกลไกการทำงาน ความตระหนักในความเสี่ยง และการมีวินัยในการเทรด นักลงทุนที่ใช้มันอย่างรอบคอบ ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงที่ดี จะได้เปรียบในระยะยาว แต่ผู้ที่มองข้ามความเสี่ยง อาจสูญเสียทุกอย่างได้ภายในไม่กี่วินาที

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Leverage ทางการเงิน คืออะไร?

Leverage ทางการเงิน คือ การใช้เงินทุนที่กู้ยืมมาเพื่อเพิ่มอำนาจในการลงทุน ทำให้สามารถควบคุมสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนของตนเองได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนให้สูงขึ้น

สำหรับมือใหม่ ควรเลือกใช้ Leverage ในตลาด Forex เท่าไหร่ดี?

สำหรับมือใหม่ในตลาด Forex แนะนำให้เริ่มต้นด้วย Leverage ในระดับต่ำ เช่น ไม่เกิน 1:20 หรือ 1:50 เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจผลกระทบของ Leverage ต่อเงินทุนก่อน การเริ่มต้นด้วย Leverage ต่ำจะช่วยจำกัดความเสี่ยงและลดโอกาสการขาดทุนอย่างรุนแรงในช่วงเริ่มต้น

ความแตกต่างระหว่าง Leverage 1:100 และ 1:500 คืออะไร?

ความแตกต่างหลักคืออำนาจการควบคุมสินทรัพย์และเงินประกันที่ต้องใช้ Leverage 1:500 ให้อำนาจการควบคุมที่สูงกว่า 1:100 ถึง 5 เท่า และใช้เงินประกัน (Margin) ที่น้อยกว่าในการเปิดสถานะขนาดเดียวกัน แต่ในทางกลับกัน 1:500 ก็มีความเสี่ยงสูงกว่ามาก เพราะการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยจะส่งผลกระทบต่อเงินทุนรุนแรงกว่า

การใช้ Leverage มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนจนติดลบบัญชีหรือไม่?

ในทางทฤษฎีมีความเสี่ยง แต่ในทางปฏิบัติโบรกเกอร์รายย่อยส่วนใหญ่ในปัจจุบันมีนโยบาย “ป้องกันบัญชีติดลบ” (Negative Balance Protection) ซึ่งหมายความว่าคุณจะไม่ขาดทุนเกินกว่าเงินทุนที่คุณฝากเข้าไปในบัญชี อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบเงื่อนไขนี้กับโบรกเกอร์ของคุณให้แน่ใจก่อนทำการเทรด

Leverage Ratio ที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่?

ไม่มีคำตอบที่ตายตัวสำหรับ Leverage Ratio ที่เหมาะสมที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ประสบการณ์ของนักเทรด, ความผันผวนของสินทรัพย์ที่เทรด, และกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงของแต่ละบุคคล สิ่งสำคัญคือการเลือก Leverage ที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้

Margin Call คืออะไร และจะเกิดขึ้นเมื่อใด?

Margin Call คือการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์เมื่อมูลค่าในบัญชีของคุณลดลงจนใกล้ระดับเงินประกัน (Margin) ที่กำหนดไว้ มันเกิดขึ้นเมื่อคุณมีผลขาดทุนจากการเทรดที่เปิดอยู่ และโบรกเกอร์ต้องการให้คุณฝากเงินเพิ่มเพื่อรักษาสถานะนั้นไว้ หากไม่ดำเนินการ สถานะของคุณอาจถูกบังคับปิดโดยอัตโนมัติ (Stop Out)

ในตลาดหุ้นไทย เราสามารถใช้ Leverage ได้หรือไม่?

ได้ โดยผ่านบริการที่เรียกว่า “Credit Balance” หรือบัญชีมาร์จิ้น ซึ่งเป็นการกู้ยืมเงินจากบริษัทหลักทรัพย์เพื่อเพิ่มกำลังซื้อหุ้น แต่มักจะมีอัตราทดที่ไม่สูงมากนัก เช่น 1:1 หรือ 1:2 และมีเงื่อนไขและกฎระเบียบที่เข้มงวดกว่าการใช้ Leverage ในตลาด Forex หรือ TFEX

ยิ่ง Leverage สูง ยิ่งดีใช่หรือไม่?

ไม่ใช่เสมอไป Leverage สูงหมายถึงโอกาสทำกำไรที่สูงขึ้น แต่ก็หมายถึงความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเช่นกัน สำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์และมีวินัย Leverage สูงอาจเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่สำหรับมือใหม่ มันอาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรวดเร็วได้ง่ายกว่า ดังนั้น “ดีที่สุด” คือระดับที่เหมาะสมกับความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *