
ในการเทรดฟอเร็กซ์และตลาดการเงินอื่น ๆ เครื่องมือและคำศัพท์เฉพาะทางมีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในแนวคิดที่ถูกมองข้ามบ่อยครั้ง แต่มีผลต่อความอยู่รอดของพอร์ตการลงทุนอย่างลึกซึ้งคือ “มาร์จิ้นอิสระ” หรือ Free Margin ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ปรากฏในหน้าจอเทรด แต่เป็นตัวชี้วัดสภาพคล่องและความสามารถในการดำเนินกลยุทธ์ในสถานการณ์ที่ตลาดผันผวน หากไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ นักเทรดอาจเสี่ยงต่อการขาดทุนอย่างรุนแรงโดยไม่ทันตั้งตัว บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจทั้งนิยาม วิธีคำนวณ ความสำคัญ และกลยุทธ์การบริหารจัดการ Free Margin อย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการเทรดที่ยั่งยืน

Free Margin คืออะไร? ทำความเข้าใจนิยามและหลักการพื้นฐาน
Free Margin หรือ “มาร์จิ้นอิสระ” คือส่วนของเงินในบัญชีเทรดที่ยังไม่ถูกใช้เป็นหลักประกันสำหรับสถานะการเปิดออเดอร์ที่กำลังดำเนินอยู่ และยังสามารถนำไปใช้ในการเปิดสถานะใหม่หรือรองรับการเปลี่ยนแปลงของราคาที่อาจไม่เป็นไปตามคาดได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันคือเงินสำรองที่คุณยังมีอำนาจควบคุมอยู่
เมื่อเปรียบเทียบกับ Used Margin ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ถูกล็อกไว้เพื่อค้ำประกันออเดอร์ที่คุณเปิดอยู่แล้ว Free Margin จึงเป็นส่วนที่ “อิสระ” และพร้อมใช้งาน หากคุณมีมาร์จิ้นอิสระในระดับสูง แสดงว่าคุณมีพื้นที่ในการปรับตัวหากตลาดเคลื่อนตัวผิดทิศทาง หรือมีโอกาสที่จะรับมือกับสัญญาณเทรดใหม่ ๆ ได้ทันที ในทางกลับกัน หาก Free Margin ลดลงใกล้ศูนย์หรือติดลบ หมายความว่าคุณอยู่ในพื้นที่อันตราย และอาจถูกปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติหากไม่มีการเพิ่มเงินหรือปรับพอร์ตทันเวลา
ความเข้าใจที่ชัดเจนระหว่าง Free Margin และ Used Margin จึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการจัดการความเสี่ยง เพราะมันช่วยให้คุณรู้ว่า “เงินที่ใช้ได้จริง” ในบัญชีของคุณมีเท่าไหร่ ไม่ใช่แค่ดูจากยอดคงเหลือ (Balance) เท่านั้น

วิธีการคำนวณ Free Margin: สูตรและตัวอย่างที่เข้าใจง่าย
การคำนวณ Free Margin เป็นพื้นฐานที่นักเทรดทุกคนควรเข้าใจอย่างชัดเจน เพราะช่วยให้คุณประเมินสถานะบัญชีได้อย่างแม่นยำ สูตรพื้นฐานคือ:
Free Margin = Equity – Used Margin
โดยที่:
– Equity คือมูลค่ารวมของบัญชีในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยเงินฝากเดิม บวกหรือลบกับกำไรหรือขาดทุนที่ยังไม่ปิด (Floating Profit/Loss)
– Used Margin คือจำนวนเงินที่ถูกใช้ไปแล้วเพื่อรักษาสถานะเปิด
เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองพิจารณาตัวอย่างดังต่อไปนี้:
สมมติว่าคุณมีเงินในบัญชี 1,000 ดอลลาร์ เปิดสถานะ EUR/USD ขนาด 0.1 ล็อต โดยโบรกเกอร์ต้องการมาร์จิ้น 100 ดอลลาร์ ขณะเดียวกัน คุณมีกำไรลอยตัว +50 ดอลลาร์
– Equity = 1,000 + 50 = 1,050 ดอลลาร์
– Used Margin = 100 ดอลลาร์
– Free Margin = 1,050 – 100 = 950 ดอลลาร์
แสดงว่าคุณยังมีเงิน 950 ดอลลาร์ที่สามารถใช้เปิดออเดอร์ใหม่ หรือรองรับการขาดทุนเพิ่มเติมได้
หากคุณขาดทุนลอยตัว -150 ดอลลาร์ Equity จะลดลงเหลือ 850 ดอลลาร์ และ Free Margin จะเหลือเพียง 750 ดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผลกำไรหรือขาดทุนจากออเดอร์ที่เปิดอยู่มีผลโดยตรงต่อมาร์จิ้นอิสระของคุณ
สถานการณ์ | Balance (USD) | Floating P/L (USD) | Used Margin (USD) | Equity (USD) | Free Margin (USD) | หมายเหตุ |
---|---|---|---|---|---|---|
เริ่มต้น (ไม่มีสถานะ) | 1,000 | 0 | 0 | 1,000 | 1,000 | Free Margin เท่ากับ Equity |
เปิดสถานะ (กำไร) | 1,000 | +50 | 100 | 1,050 | 950 | Free Margin เพิ่มขึ้นตามกำไรลอยตัว |
เปิดสถานะ (ขาดทุน) | 1,000 | -150 | 100 | 850 | 750 | Free Margin ลดลงตามขาดทุนลอยตัว |
Free Margin ต่ำ | 1,000 | -800 | 100 | 200 | 100 | เสี่ยงต่อ Margin Call/Stop Out สูง |
การติดตามตัวเลขเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณประเมินสุขภาพของพอร์ตได้ทันเวลา และตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล
ความสำคัญของ Free Margin ในการเทรด Forex ที่คุณไม่ควรมองข้าม
Free Margin เป็นมากกว่าแค่ตัวเลข มันคือ “สัญญาณเตือนภัย” และ “ตัวชี้วัดความยืดหยุ่น” ของบัญชีเทรด ซึ่งมีบทบาทสำคัญในหลายด้าน:
1. สะท้อนสภาพคล่องและความยืดหยุ่น
Free Margin สูงแสดงว่าคุณยังมี “พื้นที่หายใจ” ในการรับมือกับความผันผวนของตลาด คุณสามารถรับมือกับการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดได้โดยไม่ต้องปิดออเดอร์ทันที หรือเปิดสถานะใหม่เพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาด
2. ป้องกัน Margin Call และ Stop Out
นี่คือหน้าที่สำคัญที่สุดของ Free Margin เมื่อตัวเลขนี้ลดลงจนเข้าใกล้ศูนย์ โบรกเกอร์จะส่งสัญญาณเตือน (Margin Call) ให้คุณเพิ่มเงินทุนหรือปิดบางออเดอร์ หากคุณไม่ดำเนินการ ระบบอาจปิดออเดอร์ทั้งหมดโดยอัตโนมัติ (Stop Out) เพื่อป้องกันการขาดทุนเกินยอดทุนในบัญชี การรักษาระดับ Free Margin ที่เหมาะสมจึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกัน อ้างอิงจาก BabyPips
3. กำหนดความสามารถในการเปิดสถานะใหม่
นักเทรดหลายคนอาจคิดว่า “ยอด Balance ยังเยอะ” แต่ลืมไปว่าส่วนใหญ่ถูกใช้เป็น Used Margin แล้ว หาก Free Margin ต่ำ คุณจะไม่สามารถเปิดออเดอร์ใหม่ได้ หรืออาจได้ขนาดเล็กมาก การรู้ว่า “เงินที่ใช้ได้จริง” มีเท่าไหร่ จึงช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำ
4. สนับสนุนการจัดการขนาดการเทรด
เมื่อ Free Margin ลดลง การเปิดล็อตใหญ่จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง ดังนั้น ตัวเลขนี้จึงช่วยให้คุณปรับขนาดการเทรดให้สอดคล้องกับสถานะบัญชี เช่น ลดขนาดล็อตหรือหยุดเปิดสถานะใหม่ชั่วคราว
การดูแล Free Margin จึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่เป็นหัวใจของการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ
Free Margin, Used Margin, Equity และ Margin Level: ความสัมพันธ์ที่ต้องรู้
เพื่อให้เข้าใจภาพรวมของบัญชีเทรดอย่างครบถ้วน คุณต้องเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างคำศัพท์เหล่านี้:
- Equity (เงินทุนทั้งหมด): คือมูลค่าปัจจุบันของบัญชี คำนวณจาก Balance + Floating P/L เป็นพื้นฐานของทุกการคำนวณ
- Used Margin: เงินที่ถูกล็อกไว้เพื่อค้ำประกันออเดอร์ที่เปิดอยู่ ขึ้นอยู่กับขนาดล็อตและ Leverage ที่ใช้
- Free Margin: เงินที่เหลือหลังจากหัก Used Margin จาก Equity สามารถใช้เปิดออเดอร์ใหม่ได้
- Margin Level: คำนวณจาก (Equity / Used Margin) × 100% เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงของบัญชี ถ้าต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด (เช่น 100% หรือ 50%) จะเข้าสู่โซนอันตราย อ้างอิงจาก AvaTrade
คำศัพท์ | คำจำกัดความ | ความสัมพันธ์กับ Free Margin |
---|---|---|
Equity | มูลค่ารวมของบัญชี (Balance + Floating P/L) | ถ้า Equity สูง และ Used Margin คงที่ Free Margin จะสูงตาม |
Used Margin | เงินที่ถูกล็อกเพื่อค้ำประกันออเดอร์ที่เปิดอยู่ | ถ้า Used Margin สูง Free Margin จะลดลง |
Free Margin | เงินที่เหลือในบัญชีที่สามารถใช้ได้ (Equity – Used Margin) | เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการเปิดออเดอร์ใหม่ |
Margin Level | อัตราส่วนของ Equity ต่อ Used Margin (%) | Margin Level สูงแสดงว่า Free Margin สูง และความเสี่ยงต่ำ |
การเข้าใจความสัมพันธ์นี้ช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของพอร์ต และตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้นในสถานการณ์จริง
กลยุทธ์การบริหาร Free Margin อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการเทรดที่ยั่งยืน
การบริหาร Free Margin ไม่ใช่แค่การดูตัวเลข แต่คือการวางกลยุทธ์เพื่อปกป้องทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ต่อไปนี้คือแนวทางที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล:
1. ตั้งค่า Stop Loss ทุกครั้งที่เปิดออเดอร์
Stop Loss คือเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการจำกัดความเสียหาย หากตลาดเคลื่อนตัวสวนทาง ตัวเลขนี้จะช่วยหยุดการขาดทุนก่อนที่ Free Margin จะถูกกัดกร่อนจนหมด ทำให้คุณยังมีโอกาสฟื้นตัวในอนาคต
2. หลีกเลี่ยงการใช้ Leverage เกินพอดี
Leverage ช่วยให้คุณควบคุมตำแหน่งใหญ่ด้วยทุนน้อย แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก เพราะจะทำให้ Used Margin สูงขึ้น และเมื่อตลาดผันผวนเพียงเล็กน้อย Free Margin ก็อาจหายไปอย่างรวดเร็ว การใช้ Leverage ในระดับที่เหมาะสมกับแผนการเทรดและระดับความเสี่ยงของคุณคือทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
3. จัดการขนาดล็อตอย่างมีวินัย
การเปิดล็อตใหญ่เกินไปเทียบกับขนาดบัญชีจะทำให้ Free Margin ลดลงอย่างรวดเร็ว กฎทองของการบริหารความเสี่ยงคือไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของทุนในแต่ละออเดอร์ ซึ่งช่วยให้คุณรักษา Free Margin ได้แม้จะมีการขาดทุนหลายครั้ง
4. ตรวจสอบ Free Margin และ Margin Level อย่างสม่ำเสมอ
อย่ารอให้โบรกเกอร์ส่งการแจ้งเตือน ควรติดตามตัวเลขเหล่านี้ทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงตลาดมีความผันผวนสูง การรับรู้สถานะล่วงหน้าช่วยให้คุณสามารถปิดบางออเดอร์ หรือเพิ่มเงินทุนก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายลง
5. พิจารณาปิดออเดอร์บางส่วนเพื่อเพิ่ม Free Margin
หากคุณมีออเดอร์หลายตัวที่ขาดทุน และ Free Margin เริ่มต่ำ การปิดออเดอร์บางส่วนเพื่อรักษาทุนและเพิ่มสภาพคล่องอาจเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดกว่าการรอให้ตลาดกลับตัว
6. มีทุนสำรองเพียงพอในบัญชี
อย่าใช้เงินทุนทั้งหมดในการเปิดออเดอร์ ควรมีเงินสำรองไว้รองรับความผันผวน และเปิดโอกาสให้คุณสามารถรับมือกับสัญญาณเทรดใหม่ ๆ ได้ทันที
การนำแนวทางเหล่านี้ไปใช้จะช่วยให้คุณรักษาความมั่นคงของบัญชี และเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดในตลาดระยะยาว
ข้อผิดพลาดทั่วไปเกี่ยวกับ Free Margin ที่นักเทรดมือใหม่มักทำ
นักเทรดมือใหม่หลายรายมักตกหลุมพรางเดิม ๆ ที่นำไปสู่การสูญเสียทุนอย่างรวดเร็ว ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย ได้แก่:
1. สับสนระหว่าง Balance, Equity และ Free Margin
การเห็นว่า Balance ยังเยอะ แต่ลืมว่าเงินส่วนใหญ่ถูกใช้เป็น Used Margin แล้ว จะทำให้ประเมินความสามารถในการเปิดออเดอร์ผิดพลาด
2. ไม่ตรวจสอบ Free Margin อย่างสม่ำเสมอ
การละเลยการติดตามตัวเลขอาจทำให้คุณไม่รู้ตัวว่าบัญชีอยู่ในโซนอันตรายจนกว่าจะถูก Stop Out แล้ว
3. เปิดออเดอร์หลายตัวพร้อมกัน (Overtrading)
การเปิดออเดอร์มากเกินไปหรือใช้ล็อตใหญ่เกินไปจะทำให้ Used Margin เพิ่มขึ้นเร็ว และ Free Margin ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้บัญชีอ่อนแอต่อความผันผวน
4. ไม่ตั้ง Stop Loss
การไม่มี Stop Loss เท่ากับเปิดช่องให้ขาดทุนไม่สิ้นสุด ซึ่งจะกัดกิน Free Margin อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติ
5. ไม่ระวังช่วงเวลาประกาศข่าว
ข่าวเศรษฐกิจสำคัญสามารถทำให้ตลาดผันผวนอย่างรุนแรงในช่วงเวลาไม่กี่วินาที หากคุณมี Free Margin ต่ำอยู่แล้ว การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยอาจทำให้บัญชีล้มได้ทันที
การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดเหล่านี้จะช่วยให้คุณพัฒนาเป็นนักเทรดที่มีวินัย และสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Free Margin คืออะไร และแตกต่างจาก Margin ทั่วไปอย่างไร?
Free Margin คือเงินทุนส่วนที่เหลือในบัญชีเทรดของคุณที่ยังไม่ได้ถูกใช้เป็นหลักประกันสำหรับสถานะที่เปิดอยู่ และสามารถนำไปใช้ในการเปิดสถานะใหม่ได้ ส่วน Margin ทั่วไป (หรือ Used Margin) คือเงินทุนที่ถูกล็อกไว้เป็นหลักประกันสำหรับสถานะการเทรดที่เปิดอยู่
เราจะคำนวณ Free Margin ได้อย่างไร?
Free Margin คำนวณจากสูตร: Free Margin = Equity (เงินทุนทั้งหมด) – Used Margin (มาร์จิ้นที่ใช้ไปแล้ว) โดย Equity คือ Balance + กำไร/ขาดทุนลอยตัว
ทำไม Free Margin ถึงมีความสำคัญต่อนักเทรด Forex?
Free Margin มีความสำคัญเพราะเป็นตัวบ่งชี้สภาพคล่องและความยืดหยุ่นของบัญชี เป็นเกราะป้องกันการถูก Margin Call และ Stop Out และเป็นตัวกำหนดว่าคุณสามารถเปิดสถานะใหม่ได้หรือไม่ การมี Free Margin ที่สูงช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเทรด
อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่าง Free Margin, Used Margin และ Margin Level?
- Equity: เงินทุนรวมทั้งหมดในบัญชี
- Used Margin: เงินที่ถูกใช้เป็นหลักประกันสำหรับสถานะที่เปิดอยู่
- Free Margin: Equity – Used Margin (เงินที่ยังไม่ได้ใช้)
- Margin Level: (Equity / Used Margin) x 100% เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยง หาก Margin Level ต่ำ จะหมายถึง Free Margin ต่ำและมีความเสี่ยงสูง
ระดับ Free Margin ที่ต่ำเกินไปมีผลกระทบอย่างไรต่อบัญชีเทรดของเรา?
Free Margin ที่ต่ำเกินไปบ่งบอกว่าบัญชีของคุณมีความเสี่ยงสูงมาก คุณจะไม่สามารถเปิดสถานะใหม่ได้ และอาจถูก Margin Call ซึ่งโบรกเกอร์จะขอให้คุณเพิ่มเงินทุน หรือถูก Stop Out ซึ่งโบรกเกอร์จะปิดสถานะของคุณโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนที่เกินกว่าเงินทุนที่มี
มีกลยุทธ์ใดบ้างในการบริหารจัดการ Free Margin ให้มีประสิทธิภาพ?
- กำหนด Stop Loss อย่างเคร่งครัด
- หลีกเลี่ยงการใช้ Leverage ที่มากเกินไป
- จัดการขนาด Lot Size ให้เหมาะสมกับเงินทุน
- ตรวจสอบ Free Margin อย่างสม่ำเสมอ
- พิจารณาปิดสถานะบางส่วนเพื่อเพิ่ม Free Margin
- มีเงินทุนสำรองในบัญชีให้เพียงพอ
เราควรตรวจสอบ Free Margin บ่อยแค่ไหนระหว่างการเทรด?
ควรตรวจสอบ Free Margin อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสถานะเปิดอยู่และตลาดมีความผันผวนสูง การตรวจสอบอย่างน้อยวันละครั้ง หรือทุกครั้งที่คุณเปิดหรือปิดสถานะ จะช่วยให้คุณตระหนักถึงสถานะของบัญชีและสามารถตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที
การเปิดสถานะใหม่จะส่งผลต่อ Free Margin อย่างไร?
การเปิดสถานะใหม่จะทำให้
Free Margin เป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงในการเทรดหรือไม่?
ใช่ Free Margin เป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงที่สำคัญ ยิ่ง Free Margin ต่ำเท่าไหร่ ความเสี่ยงที่บัญชีของคุณจะประสบปัญหา (เช่น Margin Call หรือ Stop Out) ก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น การรักษา Free Margin ให้สูงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการบริหารความเสี่ยง
Margin Call เกี่ยวข้องกับ Free Margin อย่างไร และเราจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไร?
Margin Call เกิดขึ้นเมื่อ Free Margin ของคุณลดลงจนถึงระดับวิกฤตที่โบรกเกอร์กำหนด ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังขาดทุนและต้องเพิ่มเงินทุนหรือปิดสถานะเพื่อรักษาระดับ Margin Level การหลีกเลี่ยง Margin Call ทำได้โดยการบริหาร Free Margin ให้แข็งแกร่ง เช่น การใช้ Stop Loss, การจัดการ Lot Size ที่เหมาะสม, หลีกเลี่ยง Over-leveraging และการตรวจสอบ Free Margin อย่างสม่ำเสมอ