บทนำ: เข้าใจกลยุทธ์ Hedging Forex และความสำคัญในโลกการเทรด

ตลาดฟอเร็กซ์เป็นสนามที่เต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน การจัดการความเสี่ยงจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเทรดทุกคนที่ต้องการรักษาเงินทุนและสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในระยะยาว หนึ่งในเครื่องมือที่นักเทรดมืออาชีพนิยมใช้เพื่อควบคุมความเสี่ยงจากทิศทางราคาที่ไม่คาดคิด คือ “การเฮดจิ้ง” หรือ Hedging Forex กลยุทธ์นี้ไม่ได้มีไว้เพื่อทำกำไรสูงสุด แต่เป็นเกราะป้องกันที่ช่วยให้พอร์ตของคุณมั่นคงแม้ในช่วงเวลาที่ตลาดปั่นป่วน บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทุกมิติของการเฮดจิ้ง ตั้งแต่ความหมาย หลักการทำงาน รูปแบบต่างๆ ข้อดี-ข้อเสีย กลยุทธ์ยอดนิยม รวมถึงข้อควรระวังเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์ชาวไทย เพื่อให้คุณสามารถใช้เครื่องมือชิ้นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีวินัย
การเฮดจิ้งในตลาดฟอเร็กซ์คืออะไร? หลักคิดพื้นฐานที่ต้องเข้าใจ

การเฮดจิ้ง (Hedging) ในบริบทของการเทรดฟอเร็กซ์ คือการเปิดสถานะซื้อและสถานะขายในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะในคู่เงินเดียวกันหรือในคู่เงินที่มีความสัมพันธ์กัน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของราคา แทนที่จะปล่อยให้สถานะเดิมเผชิญความเสี่ยงเพียงลำพัง
สมมติว่าคุณเปิดสถานะซื้อ EUR/USD และเริ่มกังวลว่าค่าเงินยูโรอาจอ่อนค่าลงเนื่องจากข่าวเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี คุณสามารถเปิดสถานะขาย EUR/USD ในปริมาณเท่ากันเพื่อชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ผลลัพธ์คือ หาก EUR/USD ตกจริง สถานะขายจะทำกำไรและชดเชยการขาดทุนจากสถานะซื้อ ส่วนกำไรที่อาจเกิดจากการแข็งค่าของยูโรก็จะถูกจำกัดเช่นกัน นี่คือสาระสำคัญของการเฮดจิ้ง: การยอมแลกโอกาสทำกำไรเพื่อลดความเสี่ยง
กลยุทธ์นี้ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง แต่เป็นการบริหารความเสี่ยงอย่างชาญฉลาด ช่วยให้คุณรักษาผลกำไรที่ได้มาแล้ว และมีเวลาตัดสินใจอย่างมีสติ โดยไม่ต้องปิดสถานะเดิมทิ้งทันทีเมื่อตลาดเริ่มเปลี่ยนทิศทาง
ประเภทของการเฮดจิ้งในตลาดฟอเร็กซ์

การเฮดจิ้งไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย สถานการณ์ตลาด และสไตล์การเทรดของแต่ละคน โดยสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบหลัก ดังนี้:
-
การเฮดจิ้งโดยตรง (Direct Hedging)
เป็นวิธีที่เข้าใจง่ายที่สุด คือการเปิดสถานะซื้อและขายในคู่เงินเดียวกันด้วยขนาดเท่ากัน เช่น ซื้อ EUR/USD 1 ล็อต และขาย EUR/USD อีก 1 ล็อต ทำให้ความเสี่ยงจากทิศทางราคาถูก “ล็อค” ไว้ชั่วคราว เหมาะกับสถานการณ์ที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง แต่ข้อสังเกตคือ โบรกเกอร์บางรายอาจไม่อนุญาตให้ทำแบบนี้ในบัญชีเดียวกัน โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มที่ใช้ระบบ Netting เช่น MT5
-
การเฮดจิ้งโดยอ้อม (Indirect Hedging)
แทนที่จะใช้คู่เงินเดียวกัน นักเทรดจะเลือกใช้คู่เงินอื่นที่มีความสัมพันธ์กัน เช่น หากคุณถือสถานะซื้อ EUR/USD และกังวลว่าดอลลาร์จะแข็งค่า คุณอาจเปิดสถานะขาย USD/JPY หรือซื้อ AUD/USD (เนื่องจาก AUD มักเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับ EUR) กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคู่เงิน (Correlation) และมีความยืดหยุ่นมากกว่า แต่ก็ซับซ้อนและไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ 100%
-
การเฮดจิ้งแบบเต็มรูปแบบ (Full Hedging)
เป็นการใช้สถานะตรงข้ามในขนาดที่เท่ากันทุกประการ เพื่อล็อคความเสี่ยงทั้งหมดทันที เหมาะกับสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ก่อนการประกาศข่าวสำคัญที่อาจส่งผลต่อตลาดอย่างรุนแรง หรือเมื่อคุณต้องการหยุดการขาดทุนทันทีโดยไม่ต้องปิดสถานะเดิม
-
การเฮดจิ้งแบบบางส่วน (Partial Hedging)
เป็นการเปิดสถานะตรงข้ามในปริมาณที่น้อยกว่า เช่น ถ้าคุณมีสถานะซื้อ 1 ล็อต ก็อาจเปิดสถานะขายแค่ 0.5 ล็อต วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงบางส่วน แต่ยังคงเปิดโอกาสให้สถานะเดิมทำกำไรได้หากตลาดกลับมาเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เหมาะกับนักเทรดที่ต้องการความสมดุลระหว่างการป้องกันและโอกาส
การเลือกใช้รูปแบบใด ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และสถานการณ์ตลาดในขณะนั้น
ข้อดีและข้อเสียของการใช้การเฮดจิ้ง
เช่นเดียวกับกลยุทธ์การเทรดอื่นๆ การเฮดจิ้งก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนนำไปใช้จริง
ข้อดีของการเฮดจิ้ง
-
ลดความเสี่ยงจากความผันผวน: ช่วยจำกัดการขาดทุนเมื่อราคาเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญ
-
รักษาผลกำไรที่ได้แล้ว: หากคุณทำกำไรได้แล้วแต่ยังไม่แน่ใจว่าตลาดจะไปต่อหรือย้อนกลับ การเฮดจิ้งช่วยล็อกกำไรเหล่านั้นไว้ แม้ราคาจะดิ่งลงในระยะสั้น
-
เพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารพอร์ต: คุณไม่จำเป็นต้องปิดสถานะเดิมทิ้ง แต่สามารถใช้เวลาวิเคราะห์เพิ่มเติมก่อนตัดสินใจครั้งสุดท้าย
-
ลดภาระจิตใจ: การรู้ว่าคุณมีการป้องกันความเสี่ยงอยู่แล้ว ช่วยให้คุณรู้สึกสงบและมีสมาธิในการวิเคราะห์ตลาดได้ดีขึ้น
ข้อเสียของการเฮดจิ้ง
-
เพิ่มต้นทุนการเทรด: ทุกครั้งที่เปิดสถานะเพิ่ม คุณต้องจ่ายค่าสเปรด ค่าคอมมิชชั่น และค่าสวอป (Swap) ซึ่งอาจสะสมและลดผลกำไรโดยรวมได้
-
จำกัดโอกาสทำกำไร: เมื่อคุณล็อคความเสี่ยง คุณก็ล็อคโอกาสทำกำไรเช่นกัน หากตลาดกลับมาเคลื่อนไหวตามทิศทางที่คุณคาดไว้ ผลกำไรจะไม่เต็มที่
-
เพิ่มความซับซ้อน: การจัดการสถานะหลายตำแหน่งพร้อมกัน ต้องใช้ความระมัดระวังและประสบการณ์ หากจัดการไม่ดี อาจทำให้สับสนและตัดสินใจผิด
-
ถูกจำกัดโดยโบรกเกอร์: โบรกเกอร์บางรายไม่อนุญาตให้เฮดจิ้งในบัญชีเดียวกัน หรืออาจมีนโยบายเรื่องมาร์จิ้นที่แตกต่างกัน ทำให้กลยุทธ์นี้ใช้ไม่ได้
ตารางเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของการเฮดจิ้ง
ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|
ลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคา | เพิ่มค่าใช้จ่ายในการเทรด (สเปรด, สวอป) |
ปกป้องกำไรที่ทำไว้แล้ว | ล็อกกำไรที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต |
เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการออเดอร์ | เพิ่มความซับซ้อนในการจัดการสถานะ |
ลดความเครียดทางจิตวิทยา | อาจถูกจำกัดโดยโบรกเกอร์บางราย |
กลยุทธ์การเฮดจิ้งที่นิยมและวิธีประยุกต์ใช้
การเฮดจิ้งไม่ใช่เพียงแค่การเปิดสถานะตรงข้าม แต่สามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับเครื่องมือและสถานการณ์ต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง
-
การเฮดจิ้งแบบง่าย (Simple Hedging)
วิธีพื้นฐานที่สุดคือการเปิดสถานะซื้อและขายในคู่เงินเดียวกันทันทีเมื่อเริ่มเห็นสัญญาณกลับตัว เช่น คุณถือ Long EUR/USD อยู่ แล้วราคาเริ่มสูญเสียโมเมนตัมและแตะแนวต้านสำคัญ คุณอาจตัดสินใจเปิด Short ขนาดเท่ากันเพื่อหยุดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
-
ใช้คำสั่ง Pending Order เพื่อเฮดจิ้งล่วงหน้า
นักเทรดสามารถตั้งคำสั่ง Sell Stop หรือ Buy Stop ไว้ล่วงหน้าเพื่อเริ่มเฮดจิ้งอัตโนมัติเมื่อราคาแตะระดับที่กำหนด เช่น ถ้าคุณถือ Long และกังวลว่าราคาอาจดิ่งลงเมื่อแตะแนวต้าน คุณอาจตั้ง Sell Stop ไว้ใต้แนวรับเพื่อเปิดสถานะ Short โดยอัตโนมัติ วิธีนี้ช่วยให้คุณไม่ต้องเฝ้าจอตลอดเวลา และมีการป้องกันความเสี่ยงที่ชัดเจน
-
การเฮดจิ้งด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Options)
แม้จะไม่ค่อยนิยมในหมู่นักเทรดทั่วไป แต่การใช้ Option เป็นอีกทางเลือกที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง คุณสามารถซื้อ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินที่อาจลดลง หรือ Call Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินที่อาจเพิ่มขึ้น ข้อดีคือคุณจ่ายเบี้ยประกันเพียงครั้งเดียว แต่ข้อเสียคือต้องเข้าใจกลไกของ Option และอาจไม่พร้อมใช้งานในทุกโบรกเกอร์
สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีแผนการ “ออก” จากการเฮดจิ้งอย่างชัดเจน คุณจะปิดสถานะเฮดจิ้งเมื่อไร? จะปิดพร้อมกันทั้งสองสถานะ หรือจะปิดทีละอัน? หากไม่มีแผน กลยุทธ์นี้อาจกลายเป็นการกักเงินทุนโดยไม่จำเป็น
การเฮดจิ้งสำหรับเทรดเดอร์ไทย: ข้อควรพิจารณาพิเศษ
สำหรับนักเทรดในประเทศไทย การใช้กลยุทธ์เฮดจิ้งต้องคำนึงถึงบริบทเฉพาะที่อาจแตกต่างจากนักเทรดในประเทศอื่น
-
นโยบายของโบรกเกอร์: โบรกเกอร์ต่างชาติที่ให้บริการนักเทรดไทยมีนโยบายการเฮดจิ้งที่แตกต่างกัน บางโบรกเกอร์อนุญาตให้เปิดสถานะตรงข้ามในบัญชีเดียวกันได้ ขณะที่บางแห่งอาจรวมสถานะเป็นหนึ่งเดียว (Netting) หรือห้ามทำโดยสิ้นเชิง ดังนั้นควรตรวจสอบ ข้อกำหนดของโบรกเกอร์ ก่อนใช้งาน
-
การใช้งานบน MT4 และ MT5: MT4 รองรับการเฮดจิ้งได้ดี เพราะแสดงสถานะซื้อและขายเป็นคนละรายการ แต่ MT5 ใช้ระบบ Netting ซึ่งอาจรวมสถานะเป็นศูนย์โดยอัตโนมัติ หากโบรกเกอร์ของคุณตั้งค่าเช่นนั้น จึงควรตรวจสอบประเภทบัญชีให้ชัดเจนก่อนเริ่มใช้
-
ต้นทุนเพิ่มเติม: ค่าสเปรดและค่าสวอปที่เพิ่มขึ้นเมื่อถือสถานะหลายตำแหน่ง อาจสะสมจนส่งผลต่อผลกำไร โดยเฉพาะหากคุณถือสถานะข้ามคืนเป็นประจำ
-
ศัพท์เฉพาะในวงการไทย: คำว่า “แก้ไม้” ที่นักเทรดไทยใช้กันบ่อย หมายถึงการเปิดสถานะตรงข้ามเพื่อลดการขาดทุน แต่การเฮดจิ้งที่ดีไม่ใช่การ “แก้ไม้” แบบไม่มีแผน แต่เป็นการป้องกันความเสี่ยงด้วยเหตุผลและกลยุทธ์ที่ชัดเจน
การเข้าใจบริบทเหล่านี้จะช่วยให้เทรดเดอร์ไทยใช้การเฮดจิ้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่เกิดจากความไม่เข้าใจนโยบายหรือเครื่องมือ
การจัดการความเสี่ยงและจิตวิทยาของการเฮดจิ้ง
การเฮดจิ้งเป็นแค่หนึ่งเครื่องมือ ไม่ใช่ทางรอดจากความผิดพลาดในการเทรด ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการจัดการความเสี่ยงแบบองค์รวมและจิตวิทยาที่มั่นคง
-
การจัดการความเสี่ยงแบบองค์รวม: การเฮดจิ้งควรอยู่ในกรอบยุทธศาสตร์ที่รวมถึงการกำหนดขนาดตำแหน่ง (Position Sizing) การตั้ง Stop Loss และการกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่น ไม่ควรพึ่งพากลยุทธ์นี้เพียงอย่างเดียว
-
จิตวิทยาในการเทรด: การมีสถานะเฮดจิ้งอาจทำให้รู้สึกปลอดภัยเกินไป จนละเลยการวิเคราะห์ หรือใช้มันเพื่อ “แก้ไม้” โดยไม่มีแผน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่อันตรายในระยะยาว
-
เฮดจิ้ง หรือ Stop Loss? คำถามนี้ไม่มีคำตอบตายตัว
ตารางเปรียบเทียบ Hedging กับ Stop Loss
คุณสมบัติ | Hedging | Stop Loss |
---|---|---|
วัตถุประสงค์หลัก | ลด/ล็อกความเสี่ยง & ปกป้องกำไร | จำกัดการขาดทุนสูงสุด |
สถานะที่เปิด | เปิดสถานะตรงข้ามเพิ่มเติม | ปิดสถานะเดิมอัตโนมัติ |
โอกาสทำกำไร | จำกัดหรือล็อกกำไร | เปิดโอกาสทำกำไรเต็มที่หากตลาดไปถูกทาง |
ความยืดหยุ่น | สูงกว่า มีเวลาตัดสินใจ | น้อยกว่า ตัดสินใจทันที |
ค่าใช้จ่าย | เพิ่มค่าสเปรด, สวอป, คอมมิชชั่น | เฉพาะสเปรด/คอมมิชชั่น ณ เวลาปิด |
โดยทั่วไป Stop Loss ยังคงเป็นวิธีพื้นฐานที่ปลอดภัยและเข้าใจง่ายที่สุด แต่ Hedging สามารถใช้เป็นทางเลือกเสริมในสถานการณ์ที่ตลาดไม่แน่นอนสูง หรือเมื่อคุณต้องการรักษาสถานะเดิมไว้โดยไม่ปิดทิ้ง ทั้งสองกลยุทธ์สามารถใช้ร่วมกันได้ เช่น ใช้ Stop Loss สำหรับตำแหน่งใหม่ และใช้ Hedging สำหรับตำแหน่งที่มีความสำคัญ
ข้อผิดพลาดทั่วไปในการเฮดจิ้งและวิธีหลีกเลี่ยง
การใช้กลยุทธ์เฮดจิ้งผิดวิธีอาจทำให้ผลลัพธ์ย้อนกลับ นี่คือข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข
-
คิดว่าการเฮดจิ้งไร้ความเสี่ยง: การเฮดจิ้งจำกัดความเสี่ยง แต่ไม่ได้กำจัดมันทั้งหมด คุณยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายและสถานะที่ถูก “กัก” ไว้ ต้องมีแผนการออกที่ชัดเจน
-
เฮดจิ้งบ่อยเกินไป: การเปิดสถานะเพิ่มหลายครั้งโดยไม่จำเป็น จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกินกำไร
-
ไม่มีแผนการปิดสถานะ: นี่คือข้อผิดพลาดร้ายแรงที่สุด ต้องกำหนดเงื่อนไขล่วงหน้าว่าจะปิดเมื่อไร เช่น เมื่อข่าวสำคัญผ่านไปแล้ว หรือเมื่อตลาดกลับมามีทิศทางชัดเจน
-
ใช้เพื่อ “แก้ไม้” แบบไม่มีเหตุผล: การเปิดสถานะเพิ่มเพียงเพราะกลัวขาดทุน คือการตัดสินใจจากอารมณ์ ไม่ใช่กลยุทธ์ ควรใช้ Hedging เพื่อป้องกัน ไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ทางที่ดีคือ ศึกษาให้เข้าใจ วางแผนอย่างชัดเจน และฝึกฝนในบัญชีเดโม่ก่อนใช้กับเงินจริง
สรุป: การเฮดจิ้งคือเครื่องมือ ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
การเฮดจิ้งในตลาดฟอเร็กซ์เป็นกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงที่ทรงพลัง ช่วยให้คุณรักษาเงินทุน ปกป้องกำไร และมีเวลาตัดสินใจอย่างมีสติ อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่ยาครอบจักรวาล และไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์
ความสำเร็จอยู่ที่การเข้าใจหลักการ รู้จักข้อดีข้อเสีย เข้าใจนโยบายของโบรกเกอร์ และมีวินัยในการใช้งาน อย่าใช้ Hedging เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดขาดทุน แต่ใช้มันอย่างมีเป้าหมาย วางแผนล่วงหน้า และตระหนักถึงต้นทุนที่ต้องจ่าย เมื่อใช้อย่างชาญฉลาด การเฮดจิ้งจะกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีค่าที่สุดในการเดินทางสู่ความสำเร็จในตลาดฟอเร็กซ์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Hedging Forex (FAQs)
Hedging Forex คืออะไร? และทำไมเทรดเดอร์ไทยควรรู้จัก?
Hedging Forex คือ กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงในตลาดฟอเร็กซ์ โดยการเปิดสถานะซื้อและขายในคู่เงินเดียวกันหรือคู่เงินที่สัมพันธ์กัน เพื่อลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่พึงประสงค์ เทรดเดอร์ไทยควรรู้จักเพราะตลาดฟอเร็กซ์มีความผันผวนสูง การเฮดจิ้งช่วยปกป้องเงินทุนและกำไร ทำให้การเทรดมีความมั่นคงยิ่งขึ้น
มีกี่ประเภทของ Hedging ในตลาด Forex และแต่ละแบบเหมาะกับใคร?
โดยหลักๆ มี 4 ประเภท ได้แก่:
- Direct Hedging: เปิดสถานะตรงข้ามในคู่เงินเดียวกัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการล็อกความเสี่ยงทั้งหมด
- Indirect Hedging: ใช้คู่เงินที่สัมพันธ์กัน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและมีมุมมองตลาดที่ซับซ้อนขึ้น
- Full Hedging: เปิดสถานะตรงข้ามปริมาณเท่ากัน เหมาะสำหรับหยุดความเสี่ยงทันที
- Partial Hedging: เปิดสถานะตรงข้ามปริมาณน้อยกว่า เหมาะสำหรับลดความเสี่ยงแต่ยังเปิดโอกาสทำกำไร
กลยุทธ์ Hedging Forex ที่นิยมใช้มีอะไรบ้าง และมีตัวอย่างการใช้งานอย่างไร?
กลยุทธ์ยอดนิยม ได้แก่:
- การเฮดจิ้งแบบง่าย: เปิดสถานะ Buy และ Sell ในคู่เงินเดียวกันด้วยปริมาณเท่ากัน เช่น ซื้อ EUR/USD 1 Lot และขาย EUR/USD 1 Lot เพื่อล็อกราคา
- การใช้ Pending Order: ตั้งคำสั่ง Buy Stop หรือ Sell Stop ล่วงหน้าเพื่อเปิดสถานะเฮดจิ้งอัตโนมัติเมื่อราคาถึงจุดที่กำหนด
- การเฮดจิ้งด้วย Options: ซื้อ Put Option หรือ Call Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต (ซับซ้อนกว่า)
การทำ Full Hedging คืออะไร? แตกต่างจากการ Hedging ปกติอย่างไร?
Full Hedging คือ การเปิดสถานะตรงกันข้ามกับสถานะเดิมด้วยปริมาณที่เท่ากันทุกประการ ทำให้ความเสี่ยงถูกล็อกไว้ทั้งหมด การขาดทุนจากสถานะหนึ่งจะถูกชดเชยด้วยกำไรจากอีกสถานะหนึ่งอย่างสมบูรณ์ การ Hedging ปกติอาจหมายถึง Partial Hed游戏副本ที่เปิดสถานะตรงข้ามในปริมาณที่น้อยกว่า เพื่อยังคงมีโอกาสทำกำไรบางส่วน