cfd ย่อมาจากอะไร? 8 สิ่งที่นักลงทุนไทยควรรู้ก่อนเริ่มเทรด

ภาพประกอบโลกการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมเน้น CFD สำหรับนักลงทุนทั่วโลกและไทย

สารบัญ

CFD คืออะไร? ทำความเข้าใจเครื่องมือการลงทุนที่มาแรงทั้งในไทยและต่างประเทศ

ในยุคที่โลกการลงทุนหมุนเร็วขึ้นทุกวัน เครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสูงและยืดหยุ่นมากขึ้น หนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั้งในระดับสากลและในประเทศไทย คือ CFD หรือที่รู้จักในชื่อเต็มว่า Contracts for Difference หรือ “สัญญาซื้อขายส่วนต่าง” เครื่องมือนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องครอบครองสินทรัพย์เหล่านั้นจริง บทความนี้จะเจาะลึกทุกมิติของ CFD ตั้งแต่พื้นฐาน กลไกการทำงาน ข้อดีข้อเสีย ความเสี่ยงที่ต้องระวัง ไปจนถึงวิธีเริ่มต้นใช้งานอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนไทยที่กำลังมองหาช่องทางเพิ่มมูลค่าให้พอร์ตการลงทุนในยุคดิจิทัล

ภาพประกอบ CFD ในฐานะเครื่องมือการเงินที่ซับซ้อน ใช้สำหรับเก็งกำไรโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์

1. CFD ย่อมาจากอะไร? ความหมายและหลักการพื้นฐาน

CFD เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถร่วมลงทุนในความผันผวนของราคาสินทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้น ทองคำ คู่สกุลเงิน หรือดัชนีตลาด ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องจัดการกับสินทรัพย์จริง ซึ่งช่วยลดภาระเรื่องการจัดเก็บ ค่าธรรมเนียมการโอน หรือข้อจำกัดของการเป็นเจ้าของ สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนเริ่มใช้ CFD คือการเข้าใจแก่นแท้ของกลไกนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนหรือการขาดทุนจากความไม่รู้

1.1 CFD หรือ “สัญญาซื้อขายส่วนต่าง” คืออะไร?

CFD ย่อมาจาก “Contracts for Difference” ซึ่งในภาษาไทยเรียกว่า “สัญญาซื้อขายส่วนต่าง” ตามชื่อนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างนักลงทุนกับโบรกเกอร์จะอยู่ในรูปแบบของ “สัญญา” ที่ตกลงกันว่าเมื่อราคาของสินทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสองฝ่ายจะแลกเปลี่ยน “ส่วนต่าง” ของราคาที่เกิดขึ้นตั้งแต่จุดเปิดถึงจุดปิดสัญญา

ตัวอย่างเช่น หากคุณคาดว่าราคาหุ้นของบริษัท A จะเพิ่มขึ้น คุณสามารถเปิดสัญญา CFD เพื่อ “ซื้อ” ส่วนต่างของราคา หากในเวลาต่อมา ราคาเพิ่มขึ้นจริง คุณจะได้รับผลต่างจากโบรกเกอร์ แต่หากราคาลดลง คุณจะต้องจ่ายผลต่างให้กับโบรกเกอร์แทน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นบริษัท A เลย ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน หรือได้รับเงินปันผลใดๆ

จุดเด่นของ CFD คือการเน้นที่ “ผลตอบแทนจากความผันผวน” แทนการเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรในระยะสั้นหรือต้องการกระจายความเสี่ยงข้ามสินทรัพย์หลายประเภทโดยไม่ต้องลงทุนจำนวนมากในแต่ละตัว

ภาพประกอบสัญญา CFD ที่แสดงการตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเพื่อแลกเปลี่ยนส่วนต่างของราคา

1.2 กลไกการทำงานของ CFD ทำงานอย่างไร?

แม้จะดูซับซ้อนในชั้นผิว แต่กลไกหลักของ CFD มีลำดับขั้นตอนที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย ดังนี้:

  1. เลือกสินทรัพย์: นักลงทุนเลือกสินทรัพย์ที่ต้องการเก็งกำไร เช่น หุ้น Tesla, คู่เงิน EUR/USD, หรือทองคำ XAU/USD
  2. ตัดสินใจทิศทาง: หากคาดว่าราคาจะขึ้น ให้เลือก “ซื้อ” (Buy หรือ Long) หากคาดว่าราคาจะลง ให้เลือก “ขาย” (Sell หรือ Short)
  3. เปิดสถานะ: ระบุจำนวนหน่วยที่ต้องการเทรด และใช้ราคา ณ ขณะนั้นในการเปิดสัญญา
  4. ติดตามการเคลื่อนไหว: ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะเปลี่ยนแปลงตามตลาดจริง
  5. ปิดสัญญา: นักลงทุนสามารถปิดสถานะได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเพื่อทำกำไรหรือจำกัดขาดทุน
  6. คำนวณผลลัพธ์: กำไรหรือขาดทุนเกิดจากการนำราคาที่เปิดลบด้วยราคาที่ปิด แล้วคูณด้วยจำนวนหน่วยที่เทรด

นอกจากนี้ ต้นทุนในการเทรด CFD มักจะมาจาก “สเปรด” หรือความต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และเสนอขาย (Ask) ที่โบรกเกอร์กำหนด บางรายอาจมีค่าคอมมิชชั่นเพิ่มเติม โดยเฉพาะสำหรับ CFD หุ้น และหากถือสถานะข้ามคืน ก็อาจมีค่าธรรมเนียมข้ามคืน (Overnight Fee) ซึ่งคำนวณจากอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง

2. Leverage (เลเวอเรจ) กับบทบาทสำคัญใน CFD

Leverage หรือ “การใช้เงินทุนเพิ่ม” คือหนึ่งในคุณสมบัติที่ทำให้ CFD น่าสนใจ แต่ก็อันตรายอย่างยิ่งหากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง หลักการของเลเวอเรจคือการใช้เงินทุนจำนวนน้อยเพื่อควบคุมตำแหน่งการเทรดที่มีมูลค่าสูงกว่าหลายเท่า ซึ่งทำให้ทั้งกำไรและขาดทุนถูกทวีคูณ

2.1 Leverage คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ?

เลเวอเรจทำหน้าที่เหมือน “คันเร่ง” ให้กับเงินทุนของคุณ ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์เสนอ Leverage 1:100 หมายความว่า คุณสามารถเปิดสถานะมูลค่า 100,000 บาท โดยใช้เงินทุนจริงเพียง 1,000 บาท เงินที่เหลืออีก 99,000 บาท ถือว่าเป็นการยืมจากโบรกเกอร์

สมมติว่าคุณเปิดสถานะซื้อ CFD ทองคำ มูลค่า 50,000 ดอลลาร์ โดยใช้ Leverage 1:50 คุณจะต้องใช้เงินประกัน (Margin) เท่านั้น 1,000 ดอลลาร์ (50,000 ÷ 50) หากราคาทองคำเพิ่มขึ้น 5% คุณจะได้กำไร 2,500 ดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็น 250% ของเงินทุนจริง แต่ถ้าราคาลดลง 5% คุณก็จะขาดทุน 2,500 ดอลลาร์ หรือขาดทุน 250% ทันที ซึ่งอาจทำให้บัญชีขาดทุนเกินเงินทุนที่มี

ดังนั้น เลเวอเรจจึงเป็นดาบสองคมที่ต้องใช้ควบคู่กับวินัยและแผนบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด

2.2 Margin และความสัมพันธ์กับ Leverage

Margin หรือ “เงินประกัน” คือจำนวนเงินที่โบรกเกอร์ต้องการให้คุณมีในบัญชี เพื่อรักษาสถานะการเทรดไว้ได้ ซึ่งคำนวณจากมูลค่ารวมของตำแหน่งหารด้วยเลเวอเรจที่ใช้

หากมูลค่าบัญชีของคุณลดลงเนื่องจากขาดทุน และเงินที่เหลือต่ำกว่าระดับที่กำหนด โบรกเกอร์จะส่ง “Margin Call” เพื่อเตือนให้คุณเติมเงินเพิ่ม หรืออาจดำเนินการ “Stop Out” โดยปิดสถานะทั้งหมดอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนเกินทุน ซึ่งเป็นกลไกป้องกันที่สำคัญ แต่ก็ทำให้คุณสูญเสียโอกาสในตลาดได้เช่นกัน

การบริหาร Margin อย่างมีประสิทธิภาพจึงจำเป็น โดยควรมีเงินสำรองในบัญชีเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาด ไม่ควรใช้เลเวอเรจสูงสุดในทุกการเทรด

3. ข้อดีและข้อเสียของการเทรด CFD: มุมมองสมดุล

การลงทุนใน CFD ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ไม่ควรตัดสินใจจากเพียงข้อดีเพียงด้านเดียว เพราะความเสี่ยงที่มาพร้อมกันอาจสูงเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้

3.1 ข้อดีของ CFD

  • ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง: นักลงทุนสามารถ “ขายชอร์ต” เพื่อเก็งกำไรจากตลาดที่ตก ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนในหุ้นจริงที่มักจะทำกำไรได้เมื่อราคาขึ้นเท่านั้น
  • ใช้ทุนน้อย ได้ผลตอบแทนสูง: ด้วยเลเวอเรจ นักลงทุนที่มีทุนจำกัดก็สามารถเข้าถึงตลาดระดับโลกได้
  • หลากหลายสินทรัพย์: สามารถเทรด CFD ได้ทั้งหุ้น เทรด FOREX ซื้อทอง น้ำมัน ดัชนี และแม้แต่คริปโต ผ่านแพลตฟอร์มเดียว
  • สภาพคล่องสูง: ตลาด CFD ส่วนใหญ่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงในบางสินทรัพย์ ทำให้สามารถเข้าหรือออกตลาดได้ทันเวลา
  • ต้นทุนต่ำ: เทียบกับการซื้อหุ้นจริงหรือสินทรัพย์ทางกายภาพ CFD มีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่ามาก โดยเฉพาะในเรื่องภาษีและค่าธรรมเนียม

3.2 ข้อเสียและความเสี่ยง

  • ขาดทุนเกินทุน: เลเวอเรจสูงทำให้ขาดทุนเร็วและมากกว่าเงินลงทุนเริ่มต้นได้ ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่พบบ่อยในมือใหม่
  • ไม่มีสิทธิประโยชน์: ไม่ได้รับเงินปันผล ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในบริษัท หรือผลประโยชน์อื่นๆ จากการเป็นเจ้าของสินทรัพย์
  • ค่าใช้จ่ายแฝง: ค่าธรรมเนียมข้ามคืน ค่าคอมมิชชั่น หรือสเปรดที่กว้าง อาจกินกำไรในระยะยาว
  • ความซับซ้อน: ต้องเข้าใจทั้งการวิเคราะห์เทคนิค เศรษฐกิจมหภาค และการบริหารจัดการพอร์ต
  • ตลาดผันผวน: โดยเฉพาะกับสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เช่น คริปโต อาจทำให้ขาดทุนอย่างรวดเร็วหากไม่มีแผนรับมือ

4. สินทรัพย์ที่สามารถเทรดด้วย CFD

หนึ่งในข้อได้เปรียบหลักของ CFD คือความหลากหลายของสินทรัพย์ที่ให้เข้าถึง ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์ตามสภาวะตลาด

  • FOREX: คู่เงินหลักและรอง ทั้ง EUR/USD, USD/THB หรือแม้แต่คู่เงินแปลกใหม่
  • หุ้น: หุ้นบริษัทชั้นนำจากสหรัฐฯ ยุโรป เอเชีย รวมถึงบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทยหากโบรกเกอร์มีให้บริการ
  • สินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำ เงิน น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และสินค้าเกษตรบางชนิด
  • ดัชนี: S&P500, NASDAQ, FTSE100, DAX และ SET50 หากมีให้บริการ
  • คริปโตเคอร์เรนซี: Bitcoin, Ethereum, Litecoin และอื่นๆ โดยไม่ต้องใช้กระเป๋าเงินดิจิทัล

ความหลากหลายนี้ทำให้นักลงทุนสามารถปรับพอร์ตตามแนวโน้มเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นตก หรือทองคำพุ่ง

5. เปรียบเทียบ CFD กับเครื่องมืออื่นในตลาดไทย

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ต่อไปนี้คือการเปรียบเทียบ CFD กับเครื่องมือการลงทุนอื่นๆ ที่นักลงทุนไทยคุ้นเคย

คุณสมบัติ CFD Forex (Spot) หุ้นจริง Futures (TFEX)
ความเป็นเจ้าของ ไม่มี ไม่มี มี ไม่มี
Leverage สูงมาก สูงมาก ไม่มี/ต่ำ สูง (แต่ต่ำกว่า CFD)
ทำกำไรจากราคาลง ง่าย ง่าย จำกัด ง่าย
ค่าใช้จ่ายหลัก สเปรด, ค่าข้ามคืน สเปรด, ค่าข้ามคืน ค่าคอมมิชชั่น ค่าคอมมิชชั่น
วันหมดอายุ ไม่มี ไม่มี ไม่มี มี
ความหลากหลาย สูงมาก เฉพาะคู่สกุลเงิน หุ้นในตลาด สินค้า, ดัชนี

5.1 CFD vs. Forex

แม้กลไกจะคล้ายกัน แต่ CFD มีความครอบคลุมมากกว่า เพราะสามารถเทรดได้ทั้งหุ้น สินค้า และดัชนี ขณะที่ Forex มุ่งเน้นที่คู่สกุลเงินเพียงอย่างเดียว

5.2 CFD vs. หุ้นจริง

การซื้อหุ้นจริงให้สิทธิ์เป็นเจ้าของ แต่ต้องใช้ทุนมากกว่าและไม่สามารถทำกำไรจากตลาดขาลงได้ง่ายนัก ในขณะที่ CFD หุ้นเน้นที่กำไรจากความผันผวน โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ

5.3 CFD vs. Futures

Futures มีวันหมดอายุและต้องมีการ Rollover ขณะที่ CFD ไม่มีข้อจำกัดนี้ และมีความยืดหยุ่นสูงกว่าในแง่ของขนาดสัญญา แต่ Futures มีการกำกับดูแลที่ชัดเจนกว่าในตลาดไทย

5.4 CFD vs. Options

Options มีโครงสร้างซับซ้อนกว่า ต้องจ่ายพรีเมียม และให้ “สิทธิ์” ไม่ใช่ “หน้าที่” ในการซื้อขาย ในขณะที่ CFD เป็นสัญญาโดยตรงที่อิงจากส่วนต่างราคา จึงเข้าใจง่ายกว่าในระดับพื้นฐาน

6. กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงสำหรับนักเทรด CFD

ความสำเร็จใน CFD ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำกำไรได้มากที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับการอยู่รอดในตลาดได้นานที่สุด การบริหารความเสี่ยงจึงเป็นหัวใจหลัก

6.1 ใช้ Stop Loss และ Take Profit อย่างชาญฉลาด

Stop Loss: ควรตั้งไว้ในทุกการเทรด เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนแบบไม่จำกัด โดยสามารถตั้งตามแนวรับ-แนวต้าน หรือตามเปอร์เซ็นต์ที่ยอมรับได้ (เช่น ไม่เกิน 2% ของทุน)

Take Profit: ช่วยล็อกกำไรและป้องกันไม่ให้กำไรหายไปเมื่อตลาดพลิกกลับ ควรตั้งตามเป้าหมายที่วางแผนไว้ล่วงหน้า

6.2 จัดการขนาดตำแหน่ง (Position Sizing)

ไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ตัวอย่างเช่น หากมีทุน 100,000 บาท ควรวางแผนขาดทุนไม่เกิน 1,000-2,000 บาท ต่อครั้ง การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดแม้จะมีการขาดทุนต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ควรกระจายการลงทุนข้ามสินทรัพย์ หลีกเลี่ยงการเทรดบ่อยเกินไป (Overtrading) และติดตามข่าวเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เองก็เน้นย้ำว่าการเข้าใจเครื่องมืออนุพันธ์เป็นสิ่งจำเป็นก่อนตัดสินใจลงทุน

7. เลือกโบรกเกอร์ CFD อย่างไรให้มั่นใจ

การเลือกโบรกเกอร์ที่ดีคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จ ซึ่งนักลงทุนไทยควรพิจารณาอย่างละเอียด

7.1 ปัจจัยสำคัญในการเลือกโบรกเกอร์

  1. ใบอนุญาตกำกับดูแล: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการควบคุมจาก FCA (UK), ASIC (Australia), หรือ CySEC (Cyprus) เพื่อความมั่นใจในความโปร่งใส
  2. แพลตฟอร์มการเทรด: ควรใช้งานง่าย เสถียร มี MT4 หรือ MT5 เป็นมาตรฐาน
  3. สเปรดและค่าธรรมเนียม: เปรียบเทียบให้รอบด้าน ไม่ใช่แค่สเปรดเดียว
  4. การฝาก-ถอน: ควรมีช่องทางที่รองรับธนาคารไทย เช่น โอนผ่าน PromptPay หรือธนาคารชั้นนำ
  5. ฝ่ายสนับสนุนลูกค้า: ควรมีทีมงานที่ตอบเร็ว และเข้าใจปัญหาของนักลงทุนไทย
  6. สินทรัพย์ที่ให้เทรด: ควรมีให้เลือกครบตามความต้องการ

7.2 ทดลองใช้บัญชี Demo ก่อนเสมอ

การใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เป็นขั้นตอนที่ไม่ควรมองข้าม ช่วยให้คุณ:

  • เรียนรู้แพลตฟอร์มโดยไม่เสี่ยงเงินจริง
  • ทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ
  • ฝึกตั้ง Stop Loss, Take Profit
  • เข้าใจความผันผวนของตลาด

ควรถือว่าเป็น “สนามฝึก” ก่อนลงสนามจริง ควรใช้จนกว่าจะมีผลลัพธ์ที่มั่นคงและเข้าใจกลไกอย่างถ่องแท้

8. เริ่มต้นเทรด CFD สำหรับมือใหม่ในไทย

สำหรับมือใหม่ ขั้นตอนการเริ่มต้นมีดังนี้

8.1 ขั้นตอนการเปิดบัญชี

  1. เลือกโบรกเกอร์: ใช้เกณฑ์ที่กล่าวมาในการเปรียบเทียบ
  2. สมัครสมาชิก: กรอกข้อมูลส่วนตัวผ่านเว็บไซต์
  3. ยืนยันตัวตน (KYC): ส่งสำเนาบัตรประชาชน และใบแจ้งยอดธนาคาร
  4. รออนุมัติ: ใช้เวลาไม่เกิน 24-48 ชั่วโมง

8.2 ทำความเข้าใจแพลตฟอร์ม

  • ดาวน์โหลด MT4 หรือ MT5
  • เข้าสู่ระบบและสำรวจหน้าต่างต่างๆ
  • ทดลองเปิด-ปิดคำสั่งในบัญชี Demo
  • เริ่มเทรดจริงเมื่อมั่นใจ

ควรเริ่มต้นด้วยเงินทุนจำนวนน้อย และปฏิบัติตามแผนการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด

9. ไขข้อสงสัยเกี่ยวกับ CFD ในไทย

มีคำถามและความเข้าใจผิดหลายประการที่นักลงทุนไทยมักถาม

9.1 CFD ผิดกฎหมายไหม?

ณ ปี 2567 CFD ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในประเทศไทย แต่การเทรดผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ได้รับอนุญาตจากหน่วยงานสากล ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนจะไม่ได้รับการคุ้มครองเต็มที่จาก ก.ล.ต. ดังนั้นต้องเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังไม่ได้จัดอยู่ในกรอบการกำกับดูแลโดยตรง

9.2 ทำไม CFD ถึงดูอันตราย?

เพราะ:

  1. เลเวอเรจสูงทำให้ขาดทุนเร็ว
  2. นักลงทุนมือใหม่ไม่เข้าใจกลไก
  3. โบรกเกอร์เถื่อนมีมาก
  4. ตลาดผันผวนสูง

แต่ถ้าเข้าใจและใช้อย่างมีวินัย CFD ก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง

สรุป: CFD คือเครื่องมือ ไม่ใช่สิ่งอัปมงคล

CFD เป็นเครื่องมือการเงินที่มีศักยภาพสูง แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับนักลงทุนไทย การเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง การใช้บัญชีทดลอง การเลือกโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาต และการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย คือกุญแจสู่ความสำเร็จ CFD ไม่ใช่ทางลัดสู่ร่ำรวย แต่เป็นเครื่องมือที่ต้องใช้ด้วยความรู้ ความเข้าใจ และความระมัดระวัง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CFD (FAQs)

1. CFD (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) คืออะไร และแตกต่างจากการเทรดหุ้นจริงอย่างไร?

CFD คือสัญญาที่ทำขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนส่วนต่างของราคาของสินทรัพย์อ้างอิง โดยที่คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริงๆ แต่เป็นการเก็งกำไรจากการขึ้นลงของราคา

ความแตกต่างกับการเทรดหุ้นจริง:

  • ความเป็นเจ้าของ:

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *