เริ่มต้นการเดินทางสู่โลกแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักลงทุนมือใหม่
สวัสดีครับ/ค่ะ นักลงทุนทุกท่าน! คุณเคยสงสัยไหมว่านักเทรดมืออาชีพทำกำไรจากตลาดได้อย่างไร? พวกเขาใช้เวทมนตร์หรือมีเคล็ดลับพิเศษอะไรซ่อนอยู่? คำตอบคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจพฤติกรรมราคาในอดีต และคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการเพิ่มโอกาสในการทำกำไร การเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด
บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจโลกแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างละเอียด เราจะเริ่มต้นจากพื้นฐาน เข้าใจแนวคิดหลัก และเรียนรู้วิธีการใช้งานเครื่องมือต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมหรือยังครับ/คะ? ถ้าพร้อมแล้ว เราไปเริ่มกันเลย!
ทำความเข้าใจพื้นฐาน: การวิเคราะห์ทางเทคนิคคืออะไรและทำไมจึงสำคัญ?
การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือวิธีการประเมินหลักทรัพย์ (เช่น หุ้น, Forex, Cryptocurrency) โดยการวิเคราะห์สถิติที่เกิดจากกิจกรรมทางการตลาด เช่น ราคาและปริมาณการซื้อขาย จุดมุ่งหมายคือการระบุรูปแบบและแนวโน้มที่สามารถบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต ต่างจากการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ที่เน้นการวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจและงบการเงินของบริษัท การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะให้ความสำคัญกับกราฟราคาและเครื่องมือทางสถิติเป็นหลัก
ทำไมการวิเคราะห์ทางเทคนิคจึงสำคัญ?
- ช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย: การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้คุณระบุจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อหรือขายหลักทรัพย์
- ลดความเสี่ยง: การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้คุณตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และเป้าหมายกำไร (Take Profit) ได้อย่างมีเหตุผล
- เพิ่มโอกาสในการทำกำไร: การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มของราคาและคาดการณ์การเคลื่อนไหวในอนาคต ทำให้คุณสามารถทำกำไรจากตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ
- ใช้ได้กับทุกตลาด: การวิเคราะห์ทางเทคนิคสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็น หุ้น, Forex, Cryptocurrency, หรือสินค้าโภคภัณฑ์
- เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่น: การวิเคราะห์ทางเทคนิคมีเครื่องมือและเทคนิคมากมายให้เลือกใช้ คุณสามารถปรับแต่งวิธีการวิเคราะห์ให้เหมาะกับสไตล์การลงทุนของคุณได้
คุณเห็นไหมครับ/คะว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคมีประโยชน์มากมาย หากคุณต้องการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ การเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
กราฟราคา: หัวใจของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
กราฟราคา (Price Chart) คือเครื่องมือพื้นฐานที่สุดในการวิเคราะห์ทางเทคนิค กราฟราคาแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ในช่วงเวลาที่กำหนด โดยทั่วไปแล้ว จะมีกราฟราคาอยู่ 3 ประเภทหลักๆ คือ
ประเภทกราฟ | คำอธิบาย |
---|---|
กราฟเส้น (Line Chart) | แสดงราคาปิดของหลักทรัพย์ในแต่ละช่วงเวลา เหมาะสำหรับการดูแนวโน้มราคาในภาพรวม |
กราฟแท่ง (Bar Chart) | แสดงราคาเปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด, และราคาปิดของหลักทรัพย์ในแต่ละช่วงเวลา เหมาะสำหรับการดูความผันผวนของราคา |
กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) | คล้ายกับกราฟแท่ง แต่มีการระบายสีแท่งเทียนเพื่อแสดงว่าราคาปิดสูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาเปิด ทำให้ง่ายต่อการดูทิศทางของราคา |
องค์ประกอบของกราฟแท่งเทียน:
- ตัวแท่งเทียน (Body): แสดงช่วงระหว่างราคาเปิดและราคาปิด
- ไส้เทียน (Wick/Shadow): แสดงช่วงระหว่างราคาสูงสุดและราคาต่ำสุด
- แท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick): แท่งเทียนที่ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด มักจะระบายด้วยสีเขียวหรือสีขาว
- แท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick): แท่งเทียนที่ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด มักจะระบายด้วยสีแดงหรือสีดำ
การอ่านกราฟราคาให้เป็นคือขั้นตอนแรกในการวิเคราะห์ทางเทคนิค คุณต้องทำความเข้าใจความหมายของแท่งเทียนแต่ละรูปแบบ และสังเกตการเคลื่อนไหวของราคาเพื่อหาแนวโน้มและสัญญาณซื้อขาย
แนวโน้ม (Trends): เพื่อนที่ดีที่สุดของนักเทรด
แนวโน้ม (Trend) คือทิศทางที่ราคาเคลื่อนที่ไปในช่วงเวลาหนึ่ง การระบุแนวโน้มเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะช่วยให้คุณเทรดไปในทิศทางเดียวกับตลาด และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร มีแนวโน้มอยู่ 3 ประเภทหลักๆ คือ
ประเภทแนวโน้ม | คำอธิบาย |
---|---|
แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) | ราคาเคลื่อนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น |
แนวโน้มขาลง (Downtrend) | ราคาเคลื่อนที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง |
แนวโน้ม Sideway (Sideway Trend) | ราคาเคลื่อนที่ในกรอบแคบๆ ไม่มีการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงอย่างชัดเจน |
วิธีการระบุแนวโน้ม:
- ใช้เส้นแนวโน้ม (Trendline): ลากเส้นเชื่อมจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นในแนวโน้มขาขับขึ้น หรือลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุดที่ต่ำลงในแนวโน้มขาลง
- ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average): ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยให้เห็นแนวโน้มราคาในภาพรวมได้ง่ายขึ้น
- สังเกตจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด: ในแนวโน้มขาขึ้น จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ในแนวโน้มขาลง จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดจะต่ำลงเรื่อยๆ
การเทรดตามแนวโน้มคือกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักเทรด เพราะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร หากคุณสามารถระบุแนวโน้มได้อย่างถูกต้อง คุณก็มีโอกาสที่จะทำกำไรจากตลาดได้อย่างสม่ำเสมอ
แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance): กำแพงที่มองไม่เห็น
แนวรับ (Support) คือระดับราคาที่คาดว่าจะมีการซื้อเข้ามา ทำให้ราคาไม่ลดต่ำลงไปกว่านั้น ส่วน แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่คาดว่าจะมีการขายออกมา ทำให้ราคาไม่สูงขึ้นไปกว่านั้น แนวรับและแนวต้านเป็นแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพราะช่วยให้คุณระบุระดับราคาที่น่าสนใจในการเข้าซื้อหรือขาย
วิธีการระบุแนวรับและแนวต้าน:
- สังเกตจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดในอดีต: ระดับราคาที่เคยเป็นจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดในอดีต มักจะกลายเป็นแนวรับหรือแนวต้านในอนาคต
- ใช้เส้นแนวนอน (Horizontal Line): ลากเส้นแนวนอนผ่านจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดที่สำคัญในอดีต
- ใช้ Fibonacci Retracement: Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่ช่วยระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่เป็นไปได้ โดยอิงจากอัตราส่วน Fibonacci
ความสำคัญของแนวรับและแนวต้าน:
- ใช้เป็นจุดเข้าซื้อ: เมื่อราคาเข้าใกล้แนวรับ อาจเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อ โดยคาดหวังว่าราคาจะเด้งขึ้นจากแนวรับ
- ใช้เป็นจุดขาย: เมื่อราคาเข้าใกล้แนวต้าน อาจเป็นจังหวะที่ดีในการขาย โดยคาดหวังว่าราคาจะตกลงจากแนวต้าน
- ใช้ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss): ตั้งจุดตัดขาดทุนต่ำกว่าแนวรับเล็กน้อย หากราคาลดลงต่ำกว่าแนวรับ แสดงว่าแนวรับนั้นถูกทำลาย และแนวโน้มอาจเปลี่ยนไป
- ใช้ตั้งเป้าหมายกำไร (Take Profit): ตั้งเป้าหมายกำไรใกล้กับแนวต้าน หากราคาขึ้นไปถึงแนวต้าน อาจเป็นจังหวะที่ดีในการทำกำไร
คุณเห็นไหมครับ/คะว่าแนวรับและแนวต้านเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในการวิเคราะห์ทางเทคนิค การทำความเข้าใจแนวคิดนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หากคุณกำลังพิจารณาที่จะเริ่มต้นการซื้อขายฟอเร็กซ์หรือสำรวจผลิตภัณฑ์ CFD อื่นๆ Moneta Markets เป็นแพลตฟอร์มที่คุ้มค่าที่จะพิจารณา มีต้นกำเนิดในออสเตรเลีย โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากกว่า 1,000 รายการ ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและผู้ค้ามืออาชีพ
รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns): สัญญาณเตือนจากตลาด
รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) คือกลุ่มของแท่งเทียนที่เรียงตัวกันในลักษณะเฉพาะ ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มหรือความต่อเนื่องของแนวโน้มเดิม การเรียนรู้รูปแบบแท่งเทียนต่างๆ จะช่วยให้คุณจับสัญญาณซื้อขายได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
รูปแบบแท่งเทียนที่สำคัญ:
- Doji: แท่งเทียนที่มีราคาเปิดและราคาปิดเท่ากันหรือใกล้เคียงกัน แสดงถึงความไม่แน่ใจของตลาด
- Hammer/Hanging Man: แท่งเทียนที่มีตัวแท่งเทียนขนาดเล็กและมีไส้เทียนยาวลงด้านล่าง แสดงถึงการปฏิเสธราคาที่ต่ำลง (Hammer เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง, Hanging Man เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น)
- Engulfing Pattern: รูปแบบที่แท่งเทียนแท่งที่สองกลืนกินแท่งเทียนแท่งแรกทั้งตัว แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
- Morning Star/Evening Star: รูปแบบที่ประกอบด้วยแท่งเทียนสามแท่ง แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม (Morning Star เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง, Evening Star เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น)
- Piercing Line/Dark Cloud Cover: รูปแบบที่ประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่ง แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม (Piercing Line เกิดขึ้นในแนวโน้มขาลง, Dark Cloud Cover เกิดขึ้นในแนวโน้มขาขึ้น)
ข้อควรจำ:
- รูปแบบแท่งเทียนควรได้รับการยืนยันจากเครื่องมือทางเทคนิคอื่นๆ ก่อนตัดสินใจซื้อขาย
- รูปแบบแท่งเทียนมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อเกิดขึ้นใกล้กับแนวรับหรือแนวต้าน
- รูปแบบแท่งเทียนแต่ละรูปแบบมีลักษณะเฉพาะ คุณต้องทำความเข้าใจความหมายของแต่ละรูปแบบอย่างละเอียด
การใช้รูปแบบแท่งเทียนร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มและแนวรับ/แนวต้าน จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจซื้อขายของคุณได้มากยิ่งขึ้น
เครื่องมือทางเทคนิค (Technical Indicators): ตัวช่วยวิเคราะห์ตลาด
เครื่องมือทางเทคนิค (Technical Indicators) คือการคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่อิงจากราคาและปริมาณการซื้อขายของหลักทรัพย์ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้ม, ความผันผวน, และโมเมนตัมของราคา
เครื่องมือทางเทคนิคที่นิยมใช้:
ชื่อเครื่องมือ | คำอธิบาย |
---|---|
Moving Average (MA) | ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ช่วยให้เห็นแนวโน้มราคาในภาพรวมได้ง่ายขึ้น |
Relative Strength Index (RSI) | ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ วัดความเร็วและความเปลี่ยนแปลงของราคา เพื่อระบุสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และสภาวะขายมากเกินไป (Oversold) |
Moving Average Convergence Divergence (MACD) | ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่คอนเวอร์เจนซ์/ไดเวอร์เจนซ์ ใช้ในการระบุแนวโน้มและสัญญาณซื้อขาย |
Fibonacci Retracement | ฟีโบนักชี รีเทรซเมนต์ ช่วยระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่เป็นไปได้ โดยอิงจากอัตราส่วน Fibonacci |
Bollinger Bands | แถบ Bollinger ช่วยวัดความผันผวนของราคา และระบุสภาวะซื้อมากเกินไปและสภาวะขายมากเกินไป |
ข้อควรจำ:
- ไม่มีเครื่องมือทางเทคนิคใดที่สมบูรณ์แบบ เครื่องมือแต่ละชนิดมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน
- ไม่ควรใช้เครื่องมือทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว ควรใช้เครื่องมือหลายชนิดร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณ
- ควรทดสอบเครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ กับข้อมูลในอดีต (Backtesting) เพื่อดูว่าเครื่องมือใดเหมาะกับสไตล์การลงทุนของคุณ
เมื่อเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขาย ความยืดหยุ่นและความได้เปรียบทางเทคนิคของ Moneta Markets สมควรได้รับการกล่าวถึง รองรับแพลตฟอร์มหลัก เช่น MT4, MT5 และ Pro Trader พร้อมด้วยการดำเนินการความเร็วสูงและการตั้งค่าสเปรดต่ำ ทำให้ได้รับประสบการณ์การซื้อขายที่ยอดเยี่ยม
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management): หัวใจของการลงทุนระยะยาว
การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) คือกระบวนการระบุ, ประเมิน, และควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในการลงทุน การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการลงทุนระยะยาว เพราะช่วยปกป้องเงินทุนของคุณ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างยั่งยืน
เทคนิคการบริหารความเสี่ยงที่สำคัญ:
- กำหนดขนาด Position ที่เหมาะสม: ไม่ควรเสี่ยงเงินทุนทั้งหมดในการเทรดครั้งเดียว ควรกำหนดขนาด Position ให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
- ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss): จุดตัดขาดทุนคือระดับราคาที่คุณจะขายหลักทรัพย์ออกไป หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับที่คุณคาดการณ์ไว้ การตั้งจุดตัดขาดทุนช่วยจำกัดการขาดทุนของคุณ
- ตั้งเป้าหมายกำไร (Take Profit): เป้าหมายกำไรคือระดับราคาที่คุณจะขายหลักทรัพย์ออกไป หากราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่คุณคาดการณ์ไว้ การตั้งเป้าหมายกำไรช่วยให้คุณทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ
- ใช้ Ratio ความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk/Reward Ratio): ควรเลือกเทรดที่มี Ratio ความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เหมาะสม เช่น 1:2 หรือ 1:3 หมายความว่าคุณคาดหวังที่จะทำกำไรเป็น 2 หรือ 3 เท่าของความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
- กระจายความเสี่ยง (Diversification): ไม่ควรลงทุนในหลักทรัพย์เพียงชนิดเดียว ควรกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหลักทรัพย์หลายชนิด
การบริหารความเสี่ยงเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนและพัฒนาอยู่เสมอ คุณต้องเรียนรู้ที่จะประเมินความเสี่ยง และปรับกลยุทธ์การลงทุนของคุณให้เหมาะสมกับสถานการณ์
การฝึกฝนและพัฒนาตนเอง: เส้นทางสู่ความเป็นมืออาชีพ
การวิเคราะห์ทางเทคนิคไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาและความพยายามในการเรียนรู้และฝึกฝน อย่าท้อแท้หากคุณไม่ประสบความสำเร็จในครั้งแรก การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและการเรียนรู้จากประสบการณ์ จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ทางเทคนิคของคุณได้อย่างรวดเร็ว
วิธีการฝึกฝนและพัฒนาตนเอง:
- ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม: อ่านหนังสือ, บทความ, และดูวิดีโอเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- ฝึกฝนกับบัญชี Demo: ใช้บัญชี Demo ในการฝึกเทรดโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง
- วิเคราะห์กราฟราคาอย่างสม่ำเสมอ: ฝึกวิเคราะห์กราฟราคาและทดสอบกลยุทธ์ต่างๆ
- ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญ: ติดตามข่าวสารและเหตุการณ์สำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาด
- เรียนรู้จากนักเทรดมืออาชีพ: เข้าร่วมกลุ่มหรือฟอรัมของนักเทรด และเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น
- ทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์: ทบทวนผลการเทรดของคุณ และปรับปรุงกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์
การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด อย่าหยุดพัฒนาตนเอง และพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของตลาดอยู่เสมอ
บทสรุป: เริ่มต้นการเดินทางสู่ความสำเร็จในการลงทุน
การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจพฤติกรรมราคา และคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ การเรียนรู้การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดในการเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
ในบทความนี้ เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับ:
- ความหมายและความสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- กราฟราคาและองค์ประกอบต่างๆ
- แนวโน้มและวิธีการระบุแนวโน้ม
- แนวรับและแนวต้าน
- รูปแบบแท่งเทียน
- เครื่องมือทางเทคนิค
- การบริหารความเสี่ยง
- วิธีการฝึกฝนและพัฒนาตนเอง
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณ และช่วยให้คุณเริ่มต้นการเดินทางสู่โลกแห่งการวิเคราะห์ทางเทคนิคได้อย่างมั่นใจ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ/คะ!
หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มีการรับรองด้านกฎระเบียบและช่วยให้การซื้อขายทั่วโลกเป็นไปได้ Moneta Markets ได้รับการรับรองด้านกฎระเบียบข้ามชาติจาก FSCA, ASIC และ FSA และให้การดูแลความปลอดภัยของเงินทุน บริการ VPS ฟรี และการบริการลูกค้าภาษาจีนตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ซึ่งเป็นตัวเลือกยอดนิยมในหมู่ผู้ซื้อขายจำนวนมาก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหนังพรฮับ
Q:การวิเคราะห์ทางเทคนิคคืออะไร?
A:การวิเคราะห์ทางเทคนิคคือการประเมินหลักทรัพย์โดยการวิเคราะห์สถิติจากการซื้อขายในอดีต เช่น ราคาและปริมาณการซื้อขาย
Q:กราฟราคามีประเภทออะไรบ้าง?
A:กราฟราคามี 3 ประเภทหลัก ได้แก่ กราฟเส้น, กราฟแท่ง, และกราฟแท่งเทียน
Q:แนวรับและแนวต้านคืออะไร?
A:แนวรับคือระดับราคาที่คาดว่าจะมีการซื้อเข้ามา ส่วนแนวต้านคือระดับราคาที่คาดว่าจะมีการขายออกมา