บบส. คืออะไร: บทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและเสริมสร้างเสถียรภาพระบบการเงินไทย
ในฐานะนักลงทุนหรือผู้ที่สนใจในระบบเศรษฐกิจ การทำความเข้าใจกลไกสำคัญที่คอยขับเคลื่อนและประคับประคองเสถียรภาพทางการเงินของประเทศถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และหนึ่งในกลไกที่ทรงอิทธิพลและมีบทบาทอย่างมากต่อภูมิทัศน์การเงินของไทยนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เป็นต้นมา ก็คือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อย่อว่า บบส.
คุณอาจเคยได้ยินชื่อ บบส. ผ่านสื่อ หรืออาจสงสัยว่าหน่วยงานเหล่านี้มีหน้าที่อะไรกันแน่ และเหตุใดจึงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ บบส. ตั้งแต่ประวัติความเป็นมา โครงสร้างการดำเนินงาน ไปจนถึงบทบาทอันซับซ้อนในการจัดการกับ สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Non-Performing Loans หรือ NPLs) และ ทรัพย์สินรอการขาย (Non-Performing Assets หรือ NPAs) ซึ่งเป็นเสมือน “ของเสีย” ที่หลงเหลืออยู่ในระบบการเงิน และหากไม่ได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจบั่นทอนความแข็งแกร่งของภาคการเงินได้
เราจะทำความเข้าใจว่า บบส. ทำงานอย่างไรในฐานะ “ผู้เก็บกวาด” หนี้เสียออกจากงบดุลของ สถาบันการเงิน ช่วยให้สถาบันเหล่านั้นกลับมามีขีดความสามารถในการปล่อยสินเชื่อและขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกครั้ง พร้อมทั้งสำรวจถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การกำกับดูแลโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตลอดจนแนวโน้ม โอกาส และความท้าทายในอนาคตของธุรกิจนี้ ที่นับวันจะยิ่งทวีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหา หนี้ภาคครัวเรือน และหนี้รายย่อยที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
วิวัฒนาการของ บบส.: จุดเริ่มต้นจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
ย้อนกลับไปในยุคที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 2540 หรือที่รู้จักกันในนาม “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทิ้งร่องรอยความเสียหายมหาศาลไว้ในระบบการเงิน สถาบันการเงิน จำนวนมากต้องประสบกับปัญหา สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ที่พอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกินกว่าจะบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง ทำให้งบดุลอ่อนแอลงอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการดำเนินธุรกิจปกติ
ภายใต้สถานการณ์อันวิกฤตนี้เอง รัฐบาลและ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นในการจัดตั้งกลไกพิเศษขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้เสียโดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้ปัญหานี้กัดกินระบบเศรษฐกิจจนเกินเยียวยา ด้วยเหตุนี้ พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 จึงได้ถือกำเนิดขึ้น เพื่อเป็นรากฐานทางกฎหมายในการจัดตั้งและกำกับดูแล บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือการรับซื้อหรือรับโอน สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ออกจากสถาบันการเงิน เพื่อนำมาบริหารจัดการและจำหน่ายต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ
บบส. จึงเปรียบเสมือน “โรงพยาบาลฉุกเฉิน” สำหรับสินทรัพย์ที่มีปัญหา ทำหน้าที่รับผู้ป่วยหนักออกจากห้องฉุกเฉินของธนาคาร เพื่อให้ธนาคารสามารถกลับไปดูแลลูกค้าปกติได้เต็มที่ และจากการถือกำเนิดขึ้นในยามวิกฤต บบส. ได้พัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านจำนวนผู้ประกอบการ และขนาดของสินทรัพย์ที่บริหารจัดการ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทอันขาดไม่ได้ในการรักษาเสถียรภาพและฟื้นฟูระบบการเงินของประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
โครงสร้างและประเภทของ บบส.: ภาครัฐ ธนาคาร และเอกชน
ปัจจุบันนี้ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) ในประเทศไทยมีโครงสร้างและประเภทที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงกลยุทธ์และที่มาที่แตกต่างกัน หากเรามองในภาพรวม สามารถแบ่ง บบส. ออกได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ บบส. ภาครัฐ บบส. ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และ บบส. ภาคเอกชน
- บบส. ภาครัฐ: กลุ่มนี้ถือเป็นผู้เล่นหลักและมีบทบาทสำคัญที่สุดในการจัดการ สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ของประเทศ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) และ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) ซึ่งทั้งสองแห่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน และ กระทรวงการคลัง โดยมีขนาดสินทรัพย์และส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ที่สุด มีขีดความสามารถในการบริหารจัดการหนี้จำนวนมาก และมักจะเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหาหนี้ที่มีความซับซ้อน หรือหนี้ที่มีผลกระทบในวงกว้างต่อระบบเศรษฐกิจ
- บบส. ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์: เป็น บบส. ที่จัดตั้งขึ้นโดย ธนาคารพาณิชย์ แต่ละแห่ง เพื่อรับโอน หนี้เสีย ของตนเองมาบริหารจัดการ ซึ่งช่วยให้ธนาคารสามารถล้างหนี้เสียออกจากงบดุลของตนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยยังคงรักษาความสัมพันธ์กับลูกหนี้บางส่วนไว้ได้ แม้ว่า บบส. กลุ่มนี้จะไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่ากับ บบส. ภาครัฐ แต่ก็มีบทบาทสำคัญในการรักษาความแข็งแกร่งของ ธนาคารพาณิชย์ แต่ละแห่ง
- บบส. ภาคเอกชน: กลุ่มนี้เป็น บบส. ที่จัดตั้งโดยนักลงทุนหรือบริษัทเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหากำไรจากการซื้อ สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ในราคาที่ต่ำกว่ามูลหนี้ แล้วนำมาบริหารจัดการเพื่อเรียกเก็บหนี้หรือจำหน่ายทรัพย์สิน ตัวอย่างเช่น บริษัท ชโย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), บริษัท บริหารสินทรัพย์ เอ็มเพอเรอร์ จัสติช จำกัด หรือ บริษัท บริหารสินทรัพย์ แอกทีฟโปร จำกัด เป็นต้น บบส. กลุ่มนี้มีความคล่องตัวสูง สามารถปรับกลยุทธ์ได้รวดเร็วตามสภาพตลาด และมีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาพคล่องให้กับตลาดซื้อขายหนี้เสีย
ความหลากหลายของประเภท บบส. เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงกลไกที่ครอบคลุมในการจัดการปัญหาหนี้เสียของประเทศ ซึ่งเป็นผลดีต่อเสถียรภาพของ ระบบการเงิน โดยรวม
ประเภท บบส. | บทบาทหลัก | ตัวอย่าง |
---|---|---|
บส. ภาครัฐ | จัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของประเทศ | BAM, SAM |
บส. ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ | รับโอนหนี้เสียของธนาคาร | จุดเฉพาะของแต่ละธนาคาร |
บส. ภาคเอกชน | แสวงหากำไรจากการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ | ชโย กรุ๊ป, เอ็มเพอเรอร์ จัสติช |
หัวใจของการดำเนินงาน: กระบวนการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs)
เมื่อ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) ได้รับโอน สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) หรือ หนี้เสีย มาจาก สถาบันการเงิน แล้ว กระบวนการที่สำคัญที่สุดก็คือการนำหนี้เหล่านั้นมาบริหารจัดการ เพื่อให้สามารถเรียกเก็บคืนได้ หรือแปรสภาพกลับมาเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าอีกครั้ง กระบวนการนี้ไม่ได้มีเพียงมิติทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมิติทางเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย
โดยทั่วไป กระบวนการบริหารจัดการ NPLs ของ บบส. สามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลัก ๆ ได้ดังนี้:
- การวิเคราะห์และจัดกลุ่มลูกหนี้: บบส. จะเริ่มจากการรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์สถานะของลูกหนี้แต่ละราย เพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุของการเป็นหนี้เสีย ความสามารถในการชำระหนี้ และประเภทของหลักประกัน (ถ้ามี) การวิเคราะห์อย่างละเอียดนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการบริหารจัดการหนี้
- การปรับโครงสร้างหนี้และการประนอมหนี้: นี่คือหัวใจของการฟื้นฟู โดย บบส. จะพยายามหาทางออกร่วมกับลูกหนี้ ซึ่งอาจรวมถึง:
- การลดหย่อนดอกเบี้ยหรือเงินต้น: เพื่อลดภาระการผ่อนชำระให้ลูกหนี้สามารถกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้
- การขยายระยะเวลาชำระหนี้: ช่วยยืดหยุ่นให้ลูกหนี้มีเวลามากขึ้นในการจัดการสภาพคล่อง
- การเปลี่ยนประเภทหนี้: เช่น การรวมหนี้ บัตรเครดิต หรือ สินเชื่อส่วนบุคคล เข้าด้วยกัน เพื่อลดความซับซ้อนและภาระดอกเบี้ย
- การแปลงหนี้เป็นทุน: ในบางกรณี โดยเฉพาะหนี้ธุรกิจ อาจมีการแปลงหนี้เป็นหุ้นเพื่อปรับโครงสร้างบริษัท
การประนอมหนี้เป็นกระบวนการที่เน้นการเจรจาต่อรองอย่างยืดหยุ่น เพื่อให้ได้ข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับได้ ลดความจำเป็นในการดำเนินคดีที่ใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง
- การดำเนินคดีและการบังคับคดี: หากการเจรจาหรือการปรับโครงสร้างหนี้ไม่เป็นผล บบส. จำเป็นต้องใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อดำเนินการเรียกเก็บหนี้ ซึ่งอาจรวมถึงการฟ้องร้องดำเนินคดีและการบังคับคดี เช่น การยึดทรัพย์จำนอง หรือการขายทอดตลาดหลักประกัน เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ กระบวนการนี้จะถูกใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายและใช้เวลานาน
- การขายหนี้เสียต่อ: ในบางกรณี บบส. อาจพิจารณาขาย NPLs ให้กับ บบส. รายอื่น หรือนักลงทุนที่เชี่ยวชาญในการบริหารหนี้ประเภทนั้น ๆ เพื่อลดภาระในการบริหารจัดการและเปลี่ยนสินทรัพย์กลับมาเป็นเงินสดได้รวดเร็วขึ้น
คุณจะเห็นได้ว่า กระบวนการเหล่านี้มีความซับซ้อนและต้องใช้ความเชี่ยวชาญอย่างมาก บบส. ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับซื้อหนี้เสีย แต่เป็นผู้ที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการฟื้นฟู สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ทรัพย์สินรอการขาย (NPAs): จากการยึดคืนสู่การสร้างมูลค่าใหม่
นอกเหนือจาก สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) ที่อยู่ในรูปของลูกหนี้เงินกู้แล้ว บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) ยังมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการ ทรัพย์สินรอการขาย (NPAs) ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ บบส. ได้มาจากการรับโอนหรือจากการบังคับคดีกับลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ได้ เช่น บ้าน ที่ดิน อาคารพาณิชย์ หรือโรงงานอุตสาหกรรม
การบริหารจัดการ NPAs มีความแตกต่างจากการบริหารจัดการ NPLs พอสมควร เพราะ บบส. จะต้องรับผิดชอบในการดูแลรักษา ปรับปรุง และทำการตลาดเพื่อขายทรัพย์สินเหล่านี้ออกไปให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เพื่อนำเงินที่ได้มาคืนกลับสู่ระบบและลดความเสียหายจากการเป็น หนี้เสีย ของลูกหนี้เดิม
กระบวนการหลักในการบริหารจัดการ NPAs ได้แก่:
- การสำรวจและประเมินมูลค่า: บบส. จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าสำรวจสภาพทรัพย์สิน ประเมินมูลค่าปัจจุบัน รวมถึงศักยภาพในการพัฒนาหรือปรับปรุง เพื่อกำหนดราคาขายที่เหมาะสมและกลยุทธ์การขาย
- การบำรุงรักษาและปรับปรุง: เพื่อเพิ่มมูลค่าและดึงดูดผู้ซื้อ บบส. อาจลงทุนในการบำรุงรักษาซ่อมแซม หรือปรับปรุงสภาพทรัพย์สิน เช่น ทาสีใหม่ ซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด หรือแม้แต่การแบ่งแปลงที่ดินให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ง่ายต่อการจำหน่าย
- การทำการตลาดและการจำหน่าย: บบส. จะใช้ช่องทางที่หลากหลายในการประกาศขายทรัพย์สิน เช่น การลงโฆษณาในสื่อต่าง ๆ การจัดกิจกรรม “วันเดียวจบ” (Happy NPLs Day) หรือการเปิดสำนักงานขายชั่วคราว นอกจากนี้ยังมีการจัดประมูล ทรัพย์สินรอการขาย เป็นระยะ ๆ เพื่อให้เกิดการแข่งขันและได้ราคาที่เป็นธรรม
- การให้สินเชื่อเพื่อซื้อ NPA: เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้สนใจ บบส. บางแห่งอาจมีการร่วมมือกับ สถาบันการเงิน หรือมีโปรแกรมสินเชื่อของตนเอง เพื่อให้ผู้ซื้อสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการซื้อ NPA ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นการเร่งรัดกระบวนการจำหน่ายและลดภาระในการถือครองทรัพย์สินของ บบส.
กระบวนการบริหารจัดการ NPAs | รายละเอียด |
---|---|
การสำรวจและประเมินมูลค่า | ส่งเจ้าหน้าที่สำรวจและประเมินมูลค่าทรัพย์สิน |
การบำรุงรักษาและปรับปรุง | ซ่อมแซมและปรับปรุงทรัพย์สินเพื่อเพิ่มมูลค่า |
การทำการตลาดและการจำหน่าย | ใช้สื่อต่าง ๆ เพื่อประกาศขายและจัดประมูล |
การให้สินเชื่อเพื่อซื้อ NPA | ร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อให้ยืมเงินได้ง่ายขึ้น |
การบริหาร NPAs จึงเป็นอีกหนึ่งหน้าที่ที่สำคัญของ บบส. ที่ไม่เพียงช่วยให้ระบบการเงินสามารถหมุนเวียนสินทรัพย์กลับมาเป็นสภาพคล่องได้ แต่ยังช่วยนำทรัพย์สินที่เคยถูกทิ้งร้างกลับมาใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอีกครั้ง ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัว บบส. เอง ลูกหนี้เดิม (ในแง่ของการปิดหนี้) และเศรษฐกิจโดยรวม
พลังขับเคลื่อน: แหล่งเงินทุนและการเข้าถึงตลาดการเงินของ บบส.
การดำเนินธุรกิจของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลในการรับซื้อหรือรับโอน สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และ ทรัพย์สินรอการขาย นั้น จำเป็นต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนที่มั่นคงและหลากหลาย แหล่งเงินทุนเหล่านี้เป็นเสมือน “เชื้อเพลิง” ที่ขับเคลื่อนให้ บบส. สามารถทำหน้าที่ “ผู้เก็บกวาด” หนี้เสียได้อย่างต่อเนื่อง
แหล่งเงินทุนหลักของ บบส. สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของ บบส. นั้น ๆ:
- ทุนจดทะเบียนและทุนของผู้ถือหุ้น: นี่คือแหล่งเงินทุนพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับ บบส. ทุกแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ บบส. ขนาดเล็กหรือ บบส. ภาคเอกชนที่อาจไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงตลาดเงินทุนขนาดใหญ่ได้ง่ายนัก การมีทุนจดทะเบียนที่แข็งแกร่งแสดงถึงความมั่นคงและความพร้อมในการดำเนินงาน
- เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน: บบส. ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ บบส. ภาครัฐและ บบส. ในกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ มักจะได้รับสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ หรือจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อหนี้เสียและบริหารจัดการสินทรัพย์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของระบบต่อ บบส. เหล่านั้น
- การออกหุ้นกู้: สำหรับ บบส. ที่มีขนาดใหญ่และมีความน่าเชื่อถือสูงในตลาดทุน เช่น BAM หรือ SAM การออกหุ้นกู้เพื่อระดมทุนจากประชาชนหรือนักลงทุนสถาบันเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญ หุ้นกู้เหล่านี้มักได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ดี ทำให้สามารถระดมทุนได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขันในธุรกิจบริหารสินทรัพย์
- กำไรจากการดำเนินงาน: เมื่อ บบส. สามารถบริหารจัดการ สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และ ทรัพย์สินรอการขาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การประนอมหนี้ที่ประสบความสำเร็จ หรือการขายทรัพย์สินได้ในราคาที่ดี กำไรที่เกิดขึ้นก็จะถูกนำกลับมาลงทุนใหม่เพื่อขยายกิจการและสร้างผลตอบแทนต่อไป
- เงินกู้จาก กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน: ในกรณีของ บบส. ภาครัฐอย่าง BAM หรือ SAM อาจได้รับเงินสนับสนุนหรือเงินกู้จาก กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเสริมสภาพคล่องและให้สามารถทำหน้าที่ตามพันธกิจในการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินได้
การเข้าถึง แหล่งเงินทุน ที่หลากหลายและมีต้นทุนต่ำ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ บบส. สามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ คุณอาจสังเกตเห็นว่า บบส. ที่มีขนาดใหญ่และภาครัฐมักจะมีข้อได้เปรียบในเรื่องนี้ ซึ่งช่วยให้พวกเขามีขีดความสามารถในการรับมือกับปัญหา หนี้เสีย ขนาดใหญ่ได้อย่างมั่นคง
การกำกับดูแลโดย ธปท.: เกราะป้องกันความเชื่อมั่นและธรรมาภิบาล
เพื่อให้มั่นใจว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) ดำเนินการอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล และไม่เป็นภัยต่อระบบการเงินโดยรวม ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกำกับดูแลและออกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เปรียบเสมือน ธปท. คือ “ผู้ดูแลกฎกติกา” ที่ทำให้การแข่งขันดำเนินไปอย่างเป็นธรรมและมีมาตรฐาน
อำนาจและหน้าที่ในการ กำกับดูแล ของ ธปท. ต่อ บบส. นั้น ครอบคลุมหลายมิติ ดังนี้:
- การกำหนดคุณสมบัติและการอนุญาตให้จัดตั้ง: ก่อนที่ บบส. จะสามารถเริ่มดำเนินกิจการได้ ต้องผ่านการพิจารณาและได้รับอนุญาตจาก ธปท. โดยมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ขอจัดตั้ง ผู้บริหาร และโครงสร้างการดำเนินงานไว้อย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่า บบส. นั้น ๆ มีความพร้อมและความสามารถในการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ
- การออกหลักเกณฑ์และกฎระเบียบ: ธปท. เป็นผู้ออกหลักเกณฑ์และประกาศต่าง ๆ ที่ บบส. ต้องปฏิบัติตาม เช่น หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง การบริหารจัดการ สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และ ทรัพย์สินรอการขาย การรายงานข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงการกำหนดมาตรฐานบัญชีและการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ หลักเกณฑ์เหล่านี้ช่วยสร้างกรอบการดำเนินงานที่ชัดเจนและป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- การตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงาน: ธปท. มีอำนาจในการเข้าตรวจสอบการดำเนินงานของ บบส. เป็นประจำ เพื่อประเมินความเสี่ยง การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการหนี้เสีย หากพบข้อบกพร่องหรือการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ธปท. สามารถสั่งการให้ บบส. แก้ไข ปรับปรุง หรือแม้กระทั่งกำหนดมาตรการลงโทษได้
- การคุ้มครองลูกหนี้: ธปท. ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิของลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้การบริหารของ บบส. โดยมีการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเจรจา ประนอมหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ และการดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อให้ลูกหนี้ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรม ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
- การเพิกถอนการจดทะเบียน: ในกรณีที่ บบส. ดำเนินการไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดอย่างร้ายแรง หรือไม่สามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้ ธปท. มีอำนาจในการพิจารณาเพิกถอนการจดทะเบียน บบส. นั้น ๆ เพื่อปกป้อง เสถียรภาพระบบการเงิน และคุ้มครองผู้ที่เกี่ยวข้อง
บทบาทของ ธปท. ในการ กำกับดูแล จึงเป็นเสาหลักที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ บริษัทบริหารสินทรัพย์ ทำให้คุณในฐานะนักลงทุนหรือประชาชนทั่วไปมั่นใจได้ว่า บบส. ดำเนินงานภายใต้กรอบที่เข้มงวดและเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
แนวโน้มและโอกาสทางธุรกิจ: การขยายขอบเขตสู่หนี้ Non-bank
ธุรกิจ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) กำลังเผชิญกับพลวัตและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ซึ่งส่งผลให้เกิดทั้งแนวโน้มการเติบโตและโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นได้ชัดเจนคือการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ในระบบการเงินไทย ไม่ว่าจะเป็นผลพวงจาก วิกฤตเศรษฐกิจ ที่ผ่านมา หรือปัจจัยจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและปัญหา หนี้ภาคครัวเรือน ที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้ปริมาณหนี้เสียที่ สถาบันการเงิน ต้องการจะโอนถ่ายออกไปยัง บบส. ยังคงมีอยู่มาก นี่จึงเป็น “วัตถุดิบ” หลักที่สำคัญสำหรับธุรกิจ บบส.
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งมาจากการปรับปรุง พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. 2541 ครั้งล่าสุด (เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2562) ซึ่งได้ขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจของ บบส. ให้สามารถรับซื้อหรือรับโอน สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ จาก ผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (Non-bank) ได้ด้วย
ก่อนหน้านี้ บบส. ส่วนใหญ่จะรับซื้อหนี้จาก ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันธุรกิจ Non-bank เช่น ผู้ให้บริการ สินเชื่อส่วนบุคคล บริษัทบัตรเครดิต หรือบริษัทสินเชื่อเช่าซื้อ มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีสัดส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้นตามไปด้วย การที่ บบส. สามารถเข้าถึงหนี้จากกลุ่ม Non-bank ได้ จึงเป็นการเปิดตลาดใหม่ขนาดใหญ่ และเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจให้กับ บบส. อย่างมหาศาล
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของการร่วมมือกันระหว่าง บบส. กับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมการ ปรับโครงสร้างหนี้ และการ ประนอมหนี้ ให้กับลูกหนี้รายย่อยมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและ ธนาคารแห่งประเทศไทย ในการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนอย่างเป็นระบบ การมีผู้เล่นในตลาดที่หลากหลายและกฎหมายที่ยืดหยุ่นขึ้น ทำให้ธุรกิจ บบส. ยังคงเป็นกลไกสำคัญที่มีอนาคตสดใส และมีบทบาทมากขึ้นในการรักษา เสถียรภาพระบบการเงิน ของประเทศ
ความท้าทายและข้อจำกัด: อุปสรรคที่ บบส. ต้องก้าวข้าม
แม้ว่าธุรกิจ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) จะมีแนวโน้มการเติบโตและโอกาสใหม่ ๆ แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายและข้อจำกัดหลายประการที่ต้องก้าวข้าม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
ประการแรก คือ แหล่งเงินทุนที่จำกัดสำหรับ บบส. ขนาดเล็ก: อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วว่า บบส. ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะ บบส. ภาครัฐ และ บบส. ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีข้อได้เปรียบในการเข้าถึง แหล่งเงินทุน ที่มีต้นทุนต่ำกว่า เช่น การออกหุ้นกู้ หรือการกู้ยืมจาก สถาบันการเงิน ขนาดใหญ่ ในทางกลับกัน บบส. ภาคเอกชนหรือ บบส. ขนาดเล็ก มักจะต้องพึ่งพาทุนของผู้ถือหุ้นหรือเงินกู้ยืมจากกรรมการเป็นหลัก ซึ่งอาจมีต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันและการขยายพอร์ตการซื้อ สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ถูกจำกัด
ประการที่สอง คือ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว: หากเศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวหรืออยู่ในภาวะถดถอย ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้รายใหม่ และยังส่งผลต่อความสำเร็จในการเรียกเก็บหนี้ของ บบส. เนื่องจากลูกหนี้เดิมอาจเผชิญกับปัญหาสภาพคล่องที่รุนแรงขึ้น นอกจากนี้ การชะลอตัวของเศรษฐกิจยังส่งผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การจำหน่าย ทรัพย์สินรอการขาย (NPAs) เป็นไปได้ยากขึ้น หรือต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งอาจกระทบต่อผลกำไรของ บบส.
ประการที่สาม คือ การแข่งขันที่สูงขึ้น: เมื่อธุรกิจบริหารสินทรัพย์มีแนวโน้มที่ดีและได้รับอนุญาตให้เข้าถึง หนี้ Non-bank ได้ ก็มีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศให้ความสนใจเข้ามาในตลาดมากขึ้น ทำให้เกิดการแข่งขันในการประมูลซื้อ หนี้เสีย และการบริหารจัดการหนี้ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้ราคาซื้อหนี้สูงขึ้น และอัตรากำไรของ บบส. อาจลดลง
และประการสุดท้าย คือ ความซับซ้อนของหนี้ที่เพิ่มขึ้น: หนี้เสียในปัจจุบันมีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ทั้งหนี้จากรายย่อย หนี้บัตรเครดิต และ สินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งบางครั้งไม่มีหลักประกัน หรือลูกหนี้มีรายได้ไม่แน่นอน การบริหารจัดการหนี้ประเภทนี้ต้องใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างออกไป และต้องอาศัยความเข้าใจในปัญหาของลูกหนี้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นความท้าทายที่ บบส. ต้องปรับตัวและพัฒนาความเชี่ยวชาญอย่างต่อเนื่อง
การเข้าใจถึงข้อจำกัดเหล่านี้จะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของธุรกิจ บบส. ได้อย่างรอบด้าน และเข้าใจถึงความพยายามของพวกเขาในการเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำหน้าที่สำคัญในการจัดการ สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ได้อย่างยั่งยืน
บทบาทเชิงรุกในการแก้ไขปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนและหนี้รายย่อย
ปัจจุบันปัญหา หนี้ภาคครัวเรือน ของประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับสูง และ หนี้รายย่อย โดยเฉพาะ หนี้บัตรเครดิต และ สินเชื่อส่วนบุคคล มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับซื้อ สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ออกจากระบบเท่านั้น แต่ยังได้รับมอบหมายให้มีบทบาทเชิงรุกมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาหนี้เหล่านี้อย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นมิติที่สำคัญต่อเสถียรภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ
บทบาทเชิงรุกของ บบส. ในการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและ หนี้ภาคครัวเรือน สะท้อนได้จากหลายแง่มุม:
- การเป็นที่ปรึกษาและผู้ประนอมหนี้: บบส. ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการฟ้องร้องดำเนินคดีเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาและผู้เจรจา ประนอมหนี้ กับลูกหนี้ พยายามหาทางออกร่วมกัน เช่น การเสนอ ปรับโครงสร้างหนี้ ที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งอาจรวมถึงการลดเงินต้น ลดดอกเบี้ย หรือขยายระยะเวลาผ่อนชำระ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถกลับมามีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นและหลุดพ้นจากวงจรหนี้ได้
- การส่งเสริมการระงับข้อพิพาททางเลือก: แทนที่จะต้องขึ้นศาลเสมอไป บบส. หลายแห่งได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่ส่งเสริมการระงับข้อพิพาททางเลือก เช่น ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท หรือหน่วยงานภายใต้ศาลยุติธรรม เพื่อให้การเจรจา ประนอมหนี้ สามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว เป็นธรรม และเป็นมิตร ซึ่งช่วยลดภาระของระบบศาลและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง บบส. กับลูกหนี้
- การมีส่วนร่วมในโครงการช่วยเหลือลูกหนี้: บบส. ภาครัฐ โดยเฉพาะ BAM และ SAM มักจะเข้าร่วมในโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ของภาครัฐหรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่มีเป้าหมายในการแก้ปัญหา หนี้เสีย ของประชาชนเป็นวงกว้าง เช่น โครงการคลินิกแก้หนี้ หรือมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วง วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทในเชิงนโยบายเพื่อสังคม
- การให้ความรู้ทางการเงิน: บบส. บางแห่งยังมีการจัดกิจกรรมหรือเผยแพร่ข้อมูลเพื่อให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน เพื่อส่งเสริมวินัยทางการเงินและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาหนี้สินซ้ำรอย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งมิติของการสร้างความยั่งยืนในระบบเศรษฐกิจ
บทบาทเชิงรุกเหล่านี้ทำให้ บบส. ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเพียง “ผู้ทวงหนี้” แต่เป็น “ผู้ช่วยฟื้นฟู” ที่มีส่วนสำคัญในการบรรเทาปัญหา หนี้ภาคครัวเรือน และสร้าง เสถียรภาพระบบการเงิน ของประเทศจากรากฐาน
กรณีศึกษาและความร่วมมือ: บบส.อารีย์ กับวิสัยทัศน์เพื่อสังคม
เพื่อทำความเข้าใจบทบาทของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) ในเชิงปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิติทางสังคมและการแก้ปัญหา หนี้ภาคครัวเรือน เราจะมาดูกรณีศึกษาของ บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (บบส.อารีย์) ซึ่งเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและ บบส. ภาครัฐขนาดใหญ่
บบส.อารีย์ ถือกำเนิดขึ้นจากการเป็นกิจการร่วมค้าระหว่าง ธนาคารออมสิน และ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM) ซึ่งทั้งสององค์กรต่างก็มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอยู่แล้ว การผนึกกำลังกันในครั้งนี้จึงมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยเน้นการ ปรับโครงสร้างหนี้ ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
สิ่งที่ทำให้ บบส.อารีย์ โดดเด่นคือการมุ่งเน้นไปที่การทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริม การระงับข้อพิพาททางเลือก ซึ่งเป็นแนวทางที่เน้นการเจรจาไกล่เกลี่ยและหาทางออกร่วมกันระหว่าง บบส. กับลูกหนี้ แทนที่จะต้องไปพึ่งพากระบวนการทางศาลเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างความร่วมมือที่สำคัญคือการที่ บบส.อารีย์ ได้ลงนามความร่วมมือกับ มูลนิธิสถาบันศึกษาและพัฒนาการจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี (ส.พ.ส.) ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อ:
- ลดภาระของศาล: การไกล่เกลี่ยที่ประสบความสำเร็จช่วยลดจำนวนคดีที่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งระบบศาลและคู่กรณี
- สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: การเจรจาด้วยสันติวิธีช่วยให้ บบส. และลูกหนี้สามารถพูดคุยและทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ดีขึ้น ลดความตึงเครียดและความบาดหมางที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินคดี
- บรรลุข้อตกลงที่ยั่งยืน: การไกล่เกลี่ยโดยผู้เชี่ยวชาญช่วยให้คู่กรณีสามารถหาข้อตกลงที่ยืดหยุ่นและเป็นไปได้จริง ทำให้ลูกหนี้มีโอกาสที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงได้สำเร็จ ซึ่งนำไปสู่การปิดบัญชี หนี้เสีย อย่างแท้จริง
- ส่งเสริมวิสัยทัศน์เพื่อสังคม: การที่ บบส.อารีย์ เน้นแนวทางนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาหนี้อย่างมีมนุษยธรรมและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของทั้ง ธนาคารออมสิน และ BAM ในการดูแลสังคม
กรณีของ บบส.อารีย์ แสดงให้เห็นว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์ ไม่ได้เป็นเพียงธุรกิจที่แสวงหากำไรเท่านั้น แต่สามารถเป็นกลไกสำคัญที่มีบทบาทในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วยเหลือลูกหนี้ให้สามารถกลับมายืนได้อีกครั้ง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของ เสถียรภาพระบบการเงิน และสังคมไทย
บทสรุป: บบส. กับอนาคตที่มั่นคงของระบบการเงินไทย
จากการเดินทางสำรวจโลกของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (บบส.) อย่างละเอียด คุณคงจะเห็นภาพที่ชัดเจนแล้วว่า บบส. ไม่ได้เป็นเพียงหน่วยงานที่เข้ามาทำหน้าที่เฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหา สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ในช่วง วิกฤตเศรษฐกิจ เท่านั้น แต่ได้พัฒนาและเติบโตจนกลายเป็นกลไกสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการรักษา เสถียรภาพระบบการเงิน ของประเทศไทยในระยะยาว
บทบาทของ บบส. ครอบคลุมตั้งแต่การรับภาระ หนี้เสีย ออกจากงบดุลของ สถาบันการเงิน การบริหารจัดการ NPLs และ NPAs อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นการ ปรับโครงสร้างหนี้ การ ประนอมหนี้ หรือการจำหน่ายทรัพย์สิน ไปจนถึงการอยู่ภายใต้การ กำกับดูแล ที่เข้มงวดของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อให้มั่นใจในธรรมาภิบาลและความโปร่งใส
ในอนาคตอันใกล้ บบส. จะมีบทบาทที่สำคัญยิ่งขึ้นในการแก้ไขปัญหา หนี้ภาคครัวเรือน และ หนี้รายย่อย ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ท้าทายเศรษฐกิจไทย การที่ พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ ได้รับการปรับปรุงให้ครอบคลุมถึง หนี้ Non-bank ยิ่งเป็นการขยายขอบเขตและเพิ่มโอกาสให้ บบส. สามารถเข้าถึงและบริหารจัดการหนี้ประเภทใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายด้าน แหล่งเงินทุน การแข่งขันที่สูงขึ้น และความซับซ้อนของหนี้ที่เพิ่มขึ้น แต่ด้วยความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ และความมุ่งมั่นในการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน รวมถึงการส่งเสริมแนวทางการ ระงับข้อพิพาททางเลือก บบส. จึงเป็นมากกว่า “ผู้ทวงหนี้” พวกเขาคือ “ผู้ฟื้นฟู” ที่ช่วยให้ผู้คนสามารถหลุดพ้นจากวังวนของหนี้ และช่วยให้เศรษฐกิจไทยก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง
สำหรับคุณในฐานะนักลงทุนหรือผู้ที่สนใจในระบบการเงิน การทำความเข้าใจบทบาทของ บบส. จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของสุขภาพทางการเงินของประเทศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และตระหนักว่าเบื้องหลังความแข็งแกร่งของ สถาบันการเงิน และการเติบโตของเศรษฐกิจนั้น มีกลไกที่ซับซ้อนแต่ทรงพลังอย่าง บริษัทบริหารสินทรัพย์ คอยทำหน้าที่ “ผู้พิทักษ์เสถียรภาพ” อยู่เสมอ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับบบส. คือ
Q:บริษัทบริหารสินทรัพย์คืออะไร?
A:บริษัทบริหารสินทรัพย์มีหน้าที่ในการจัดการหนี้เสียและสินทรัพย์ด้อยคุณภาพในระบบการเงินของประเทศ
Q:ทำไมบริษัทบริหารสินทรัพย์ถึงมีความสำคัญ?
A:บริษัทบริหารสินทรัพย์ช่วยรักษาเสถียรภาพทางการเงินและแก้ไขปัญหาหนี้ของประชาชน
Q:แนวโน้มธุรกิจของบริษัทบริหารสินทรัพย์ในอนาคตเป็นอย่างไร?
A:คาดว่าบริษัทบริหารสินทรัพย์จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการบริหารจัดการหนี้ Non-bank และหนี้ภาคครัวเรือน