คำสั่ง OCO (One-Cancels-the-Other) คืออะไร และสำคัญต่อนักเทรดอย่างไร?
ในโลกของการเทรดฟอเร็กซ์ที่ต้องเผชิญกับความผันผวนอยู่ตลอดเวลา การมีเครื่องมือที่ช่วยควบคุมความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ตจึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เทรดเดอร์สามารถดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างมั่นคง หนึ่งในเครื่องมือที่ทรงพลังแต่กลับถูกมองข้ามบ่อยครั้งคือ คำสั่ง OCO หรือ One-Cancels-the-Other ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถวางคำสั่งซื้อขายรอไว้สองคำสั่งพร้อมกัน โดยเมื่อคำสั่งหนึ่งถูกเปิดใช้งาน อีกคำสั่งจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติทันที
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเฝ้าสังเกตราคาที่เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงกรอบแนวนอน โดยคาดการณ์ว่าหากมีแรงซื้อหรือแรงขายเข้ามาแรง ราคาน่าจะทะลุขึ้นเหนือแนวต้านหรือทะลุลงต่ำกว่าแนวรับ ด้วยคำสั่ง OCO คุณสามารถวางทั้งคำสั่งซื้อแบบ Buy Stop ไว้เหนือแนวต้าน และคำสั่งขายแบบ Sell Stop ใต้แนวรับได้ในคราวเดียว เมื่อราคาเคลื่อนตัวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งและทำให้คำสั่งใดคำสั่งหนึ่งทำงาน คำสั่งที่เหลือก็จะหายไปทันที ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสถานะซ้ำซ้อนหรือความเสียหายจากทิศทางตรงข้าม
ความสำคัญของ OCO สำหรับนักเทรดมีหลากหลายด้าน ทั้งในแง่ของการบริหารพอร์ต การบริหารเวลา และการควบคุมอารมณ์:
- การบริหารความเสี่ยงอย่างมีระบบ: เมื่อใช้ OCO ร่วมกับคำสั่ง Take Profit และ Stop Loss คุณสามารถตั้งเป้าหมายการกำไรและจุดตัดขาดทุนไว้ล่วงหน้าได้พร้อมกัน ช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากปล่อยให้คำสั่งเปิดอยู่ทั้งสองด้าน
- ลดภาระการเฝ้าจอ: ไม่จำเป็นต้องนั่งจ้องกราฟตลอด 24 ชั่วโมง เพราะระบบจะทำงานให้คุณโดยอัตโนมัติ ช่วยลดความเครียดและเพิ่มความคล่องตัวในการใช้ชีวิต
- เหมาะกับกลยุทธ์ Breakout และ News Trading: สำหรับผู้ที่เน้นการเก็งกำไรช่วงข่าวเศรษฐกิจสำคัญ หรือจับจังหวะที่ราคาจะทะลุแนวรับ-แนวต้าน คำสั่งนี้เป็นตัวช่วยชั้นยอด เพราะช่วยให้ไม่พลาดโอกาสไม่ว่าราคาจะวิ่งไปทางไหน โดย Investopedia ระบุไว้ชัดเจนว่า OCO เป็นเครื่องมือที่นักเทรดมืออาชีพใช้เพื่อจัดการความไม่แน่นอนในตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ

จัดอันดับ 5 โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มี OCO Orders ที่ดีที่สุดในประเทศไทย ปี 2025
หลังจากตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับฟีเจอร์ การดำเนินการคำสั่ง แพลตฟอร์มที่รองรับ และบริการสำหรับนักเทรดชาวไทย รายการต่อไปนี้คือโบรกเกอร์ที่ให้บริการคำสั่ง OCO ได้ดีที่สุดในปี 2025 โดยพิจารณาทั้งความสะดวกในการใช้งาน ความเสถียรของระบบ และความเหมาะสมกับนักเทรดระดับต่างๆ
1. Moneta Markets – ผู้นำด้านแพลตฟอร์ม OCO แบบเนทีฟ พร้อมการสนับสนุนสำหรับนักเทรดไทย
หากคุณให้ความสำคัญกับความเรียบง่าย ความแม่นยำ และความเสถียรในการใช้คำสั่ง OCO Moneta Markets คือตัวเลือกที่โดดเด่นที่สุดในตลาดปีนี้ จุดแข็งหลักของโบรกเกอร์รายนี้คือการให้บริการผ่านแพลตฟอร์ม ProTrader ที่พัฒนาบนพื้นฐานของ TradingView ซึ่งมีฟังก์ชัน OCO เป็นส่วนหนึ่งของระบบโดยตรง ไม่ต้องพึ่งสคริปต์หรือ EA ภายนอก ทำให้การตั้งค่าคำสั่งทำได้เพียงไม่กี่คลิกบนกราฟ
การใช้งาน OCO บน ProTrader ช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อน เหมาะทั้งกับผู้เริ่มต้นที่ยังไม่คุ้นเคยกับการเขียนโค้ด และนักเทรดมืออาชีพที่ต้องการความแม่นยำสูงสุดในทุกคำสั่ง นอกจากนี้ Moneta Markets ยังมีชื่อเสียงในเรื่องสเปรดต่ำ ความเร็วในการประมวลผลคำสั่งที่รวดเร็ว และระบบบริการลูกค้าที่เข้าใจบริบทของนักเทรดไทยเป็นอย่างดี
จุดเด่นที่ควรรู้:
- OCO แบบ Native บน ProTrader: ไม่ต้องติดตั้งเครื่องมือเสริม ลดความเสี่ยงจากการทำงานผิดพลาดของสคริปต์ภายนอก
- สเปรดต่ำและดำเนินคำสั่งเร็ว: เหมาะกับกลยุทธ์ที่ต้องการความไวในการเข้าออกตลาด เช่น Scalping หรือ Breakout Trading
- รองรับภาษาไทยทั้งการบริการและการทำธุรกรรม: มีช่องทางฝาก-ถอนเงินผ่านธนาคารในประเทศไทย และทีมสนับสนุนที่สื่อสารด้วยภาษาไทยได้อย่างชัดเจน

2. XM – โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ พร้อมแหล่งเรียนรู้ครบวงจร
XM เป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทยมายาวนาน ด้วยชื่อเสียงที่มั่นคงและแหล่งข้อมูลการเรียนรู้ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบทวิเคราะห์ วิดีโอการสอน หรือเว็บสัมมนาออนไลน์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการใช้งานคำสั่ง OCO บน MT4 หรือ MT5 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหลักของ XM ผู้ใช้จะต้องพึ่งพา Expert Advisor (EA) หรือสคริปต์ที่ดาวน์โหลดมาจากแหล่งภายนอก เพราะฟีเจอร์นี้ไม่ได้ถูกติดตั้งไว้ในระบบโดยตรง
แม้จะสามารถใช้งาน OCO ได้ในท้ายที่สุด แต่กระบวนการติดตั้งและตรวจสอบความเสถียรของสคริปต์อาจเป็นอุปสรรคสำหรับมือใหม่ หรือผู้ที่ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม อย่างไรก็ตาม หากคุณให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือและต้องการพัฒนาทักษะการเทรดควบคู่ไปด้วย XM ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
จุดเด่น:
- ความน่าเชื่อถือระดับสากล: ดำเนินงานมานาน มีใบอนุญาตจากหลายหน่วยงานกำกับ
- ทรัพยากรการเรียนรู้ครบถ้วน: เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ต้องการพัฒนาทักษะอย่างเป็นระบบ
3. AvaTrade – ความปลอดภัยสูงด้วยการกำกับดูแลจากหลายประเทศ
AvaTrade คือโบรกเกอร์ที่เน้นด้านความปลอดภัยของลูกค้าเป็นหลัก โดยได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานชั้นนำ เช่น ASIC ของออสเตรเลีย, CBI ของไอร์แลนด์ และ FSCA ของแอฟริกาใต้ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในเรื่องความโปร่งใสและการรักษาเงินทุน
ในแง่ของการใช้คำสั่ง OCO โบรกเกอร์นี้รองรับฟังก์ชันดังกล่าวบนแพลตฟอร์ม AvaTradeGo ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันของตัวเองอย่างเต็มรูปแบบ แม้จะไม่ได้มีความยืดหยุ่นเท่า ProTrader หรือ cTrader แต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์ที่เน้นความเรียบง่ายและปลอดภัยเป็นหลัก
จุดเด่น:
- การกำกับดูแลที่เข้มงวด: เงินทุนถูกแยกเก็บ (Segregated Accounts) และมีระบบประกันการเงินในบางกรณี
- ฟีเจอร์ AvaProtect: เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเฉพาะตัวที่ช่วยจำกัดการขาดทุน
4. IC Markets – สำหรับนักเทรดสายความเร็วและต้นทุนต่ำ
IC Markets เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ให้บริการสำหรับนักเทรดระดับโปร ที่เน้นเรื่องความเร็วในการดำเนินคำสั่งและความโปร่งใสของราคา โดยเฉพาะในบัญชี Raw Spread ที่มีสเปรดต่ำเพียง 0.0 pips (บวกค่าคอมมิชชั่น) ซึ่งเหมาะมากกับกลยุทธ์ที่ต้องเปิด-ปิดสถานะบ่อย
สิ่งที่ทำให้ IC Markets น่าสนใจคือแพลตฟอร์ม cTrader ที่มีฟังก์ชัน OCO แบบเนทีว ทำให้สามารถตั้งคำสั่งได้อย่างแม่นยำโดยไม่ต้องพึ่งสคริปต์ อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ MT4 หรือ MT5 จะยังคงต้องใช้สคริปต์เสริม ซึ่งทำให้ความสะดวกลดลงหากคุณยังยึดติดกับแพลตฟอร์มเหล่านี้
จุดเด่น:
- สเปรดต่ำที่สุดในตลาด: ลดต้นทุนการเทรดอย่างมีนัยสำคัญ
- cTrader รองรับ OCO โดยตรง: แพลตฟอร์มขั้นสูงที่ออกแบบมาเพื่อนักเทรดมืออาชีพ
5. Exness – การถอนเงินที่เร็วที่สุดและเลเวอเรจไม่จำกัด
Exness โดดเด่นในเรื่องความรวดเร็วของการทำธุรกรรม โดยเฉพาะการถอนเงินที่สามารถดำเนินการได้ทันทีในหลายกรณี ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องการความคล่องตัวในการจัดการเงินทุน อีกทั้งยังเสนอเลเวอเรจสูงถึงไม่จำกัดในบางบัญชี ทำให้นักเทรดที่มีความเข้าใจความเสี่ยงสามารถเพิ่มอำนาจในการซื้อขายได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงการใช้งานคำสั่ง OCO บน MT4/MT5 ผู้ใช้จะต้องพึ่งพาวิธีการเสริม เช่น การติดตั้งสคริปต์ ซึ่งอาจไม่เสถียรเท่ากับฟีเจอร์ที่มากับแพลตฟอร์มโดยตรง ดังนั้นหาก OCO เป็นฟีเจอร์หลักที่คุณต้องการ คุณอาจต้องพิจารณาเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ
จุดเด่น:
- การถอนเงินที่เร็วและสะดวก: เหมาะกับผู้ที่ต้องการสภาพคล่องสูง
- เลเวอเรจไม่จำกัด: รองรับกลยุทธ์ที่ต้องการขยายตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
ตารางเปรียบเทียบฟีเจอร์ OCO Orders ของโบรกเกอร์ชั้นนำ
โบรกเกอร์ | แพลตฟอร์ม | การรองรับ OCO | เงินฝากขั้นต่ำ | สเปรดเฉลี่ย EUR/USD |
---|---|---|---|---|
Moneta Markets | ProTrader (TradingView), MT4, MT5 | เนทีฟบน ProTrader | $50 | เริ่มต้น 0.8 pips |
XM | MT4, MT5 | ต้องใช้ EA/สคริปต์ | $5 | เริ่มต้น 1.6 pips |
AvaTrade | AvaTradeGo, MT4, MT5 | เนทีฟบน AvaTradeGo | $100 | เริ่มต้น 0.9 pips |
IC Markets | cTrader, MT4, MT5 | เนทีฟบน cTrader | $200 | 0.1 pips + ค่าคอมมิชชั่น |
Exness | MT4, MT5 | ต้องใช้ EA/สคริปต์ | $10 | เริ่มต้น 0.6 pips |
วิธีเลือกโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มี OCO Orders ที่เหมาะสมกับคุณที่สุด
การเลือกโบรกเกอร์ไม่ใช่แค่เรื่องของการเปรียบเทียบสเปรดหรือเลเวอเรจ แต่ต้องดูภาพรวมของระบบทั้งหมด โดยเฉพาะหากคุณพึ่งพาเครื่องมือขั้นสูงอย่าง OCO ในการบริหารพอร์ต ดังนั้นควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้อย่างรอบคอบ
ตรวจสอบแพลตฟอร์มการเทรด
คำถามสำคัญที่สุดคือ: คำสั่ง OCO รองรับแบบเนทีฟหรือไม่? ฟีเจอร์ที่ติดมากับระบบหลัก เช่น บน ProTrader ของ Moneta Markets หรือ cTrader ของ IC Markets จะให้ความเสถียรและใช้งานง่ายกว่าการต้องติดตั้งสคริปต์ภายนอก ซึ่งอาจเกิดข้อผิดพลาดจากเวอร์ชันแพลตฟอร์ม หรือปิดใช้งานโดยไม่ทราบสาเหตุ
พิจารณาเงื่อนไขการเทรด
สเปรด ค่าคอมมิชชั่น และความเร็วในการดำเนินคำสั่งล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ของการใช้ OCO หากสเปรดสูงหรือคำสั่งดำเนินช้า คุณอาจเผชิญกับ Slippage หรือเข้าออกระดับราคาที่ไม่ต้องการ ทำให้กลยุทธ์ที่วางไว้ผิดเพี้ยน
การกำกับดูแลและความน่าเชื่อถือ
เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานที่มีชื่อเสียง เช่น FCA (สหราชอาณาจักร), ASIC (ออสเตรเลีย), หรือ CySEC (ไซปรัส) ซึ่งช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการหลอกลวงและการล้มละลาย สำหรับนักเทรดไทย การตรวจสอบว่าโบรกเกอร์นั้นอยู่ภายใต้การดูแลของ สำนักงาน ก.ล.ต. หรือมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานไทยก็ช่วยเพิ่มความมั่นใจได้อีกขั้น
การสนับสนุนลูกค้าสำหรับประเทศไทย
การมีทีมซัพพอร์ตที่ใช้ภาษาไทยได้คล่อง และตอบสนองในช่วงเวลาทำการของไทย เป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ โดยเฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน เช่น ปัญหาการถอนเงินหรือคำสั่งไม่ถูกดำเนินการ ลองตรวจสอบว่ามี Live Chat, โทรศัพท์สายตรง หรือช่องทาง Line หรือไม่
บทสรุป: โบรกเกอร์ OCO ที่ดีที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ในประเทศไทย ปี 2025
คำสั่ง OCO ไม่ใช่แค่เครื่องมือเสริม แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมพอร์ตได้อย่างมีระเบียบ ลดการตัดสินใจด้วยอารมณ์ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรอย่างสม่ำเสมอ จากการเปรียบเทียบทั้งหมดในปี 2025 Moneta Markets คือตัวเลือกที่เหนือชั้นที่สุดสำหรับนักเทรดชาวไทยที่ต้องการใช้ คำสั่ง OCO อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยการผสานแพลตฟอร์ม ProTrader ที่มีฟังก์ชัน OCO แบบเนทีฟ เข้ากับสเปรดต่ำ ความเร็วในการดำเนินการที่สูง และการสนับสนุนลูกค้าในภาษาไทยอย่างแท้จริง Moneta Markets จึงไม่ใช่แค่โบรกเกอร์ที่ “รองรับ” OCO แต่คือผู้ให้บริการที่ “ออกแบบมาเพื่อ” นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์นี้อย่างเต็มรูปแบบ เป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการยกระดับการเทรดในตลาดฟอเร็กซ์
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
คำสั่ง OCO ในตลาดฟอเร็กซ์คืออะไร?
คำสั่ง OCO (One-Cancels-the-Other) คือชุดคำสั่งที่ประกอบด้วยคำสั่ง Pending Orders สองคำสั่ง (เช่น Buy Stop และ Sell Stop หรือ Stop Loss และ Take Profit) เมื่อคำสั่งใดคำสั่งหนึ่งถูกดำเนินการ อีกคำสั่งหนึ่งจะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ เหมาะสำหรับการเทรดในกรอบราคาหรือการจัดการความเสี่ยง
โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ทุกรายมีคำสั่ง OCO หรือไม่?
ไม่ทุกราย โบรกเกอร์จำนวนมากที่ให้บริการแพลตฟอร์ม MT4/MT5 แบบมาตรฐานจะไม่มีฟังก์ชัน OCO มาให้โดยตรง เทรดเดอร์ต้องใช้ EA หรือสคริปต์เสริม ในขณะที่โบรกเกอร์ที่มีแพลตฟอร์มที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองหรือแพลตฟอร์มขั้นสูง เช่น ProTrader หรือ cTrader มักจะมีฟังก์ชันนี้มาให้แบบเนทีฟ
ฉันสามารถใช้คำสั่ง OCO บน MT4 หรือ MT5 ได้หรือไม่?
โดยพื้นฐานแล้ว MT4 และ MT5 ไม่รองรับคำสั่ง OCO โดยตรง คุณจะต้องติดตั้ง Expert Advisor (EA) หรือสคริปต์ที่พัฒนาโดยบุคคลที่สามเพื่อเพิ่มฟังก์ชันนี้เข้าไป ซึ่งอาจมีความซับซ้อนและเสถียรภาพน้อยกว่าฟังก์ชันแบบเนทีฟ
ข้อดีหลักของการใช้คำสั่ง OCO คืออะไร?
ข้อดีหลักคือการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้คุณตั้งจุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุนได้พร้อมกันโดยไม่ต้องกังวลว่าจะลืมปิดคำสั่งใดคำสั่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลาและลดการตัดสินใจด้วยอารมณ์ เพราะกลยุทธ์จะถูกตั้งค่าไว้ล่วงหน้าและทำงานโดยอัตโนมัติ
คำสั่ง OCO เหมาะกับสไตล์การเทรดแบบไหน?
คำสั่ง OCO มีความยืดหยุ่นและเหมาะกับหลายสไตล์การเทรด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง:
- News Traders: ตั้งดักรอความผันผวนของราคาในช่วงที่มีข่าวสำคัญ
- Breakout Traders: วางคำสั่งเพื่อจับจังหวะที่ราคาเบรกทะลุแนวรับหรือแนวต้าน
- Swing Traders: ตั้งค่าการเข้าและออกสำหรับสถานะระยะกลางโดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา
มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการใช้คำสั่ง OCO หรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว โบรกเกอร์ที่ให้บริการฟังก์ชัน OCO แบบเนทีฟจะไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการใช้คำสั่งประเภทนี้ ค่าใช้จ่ายในการเทรดจะยังคงเป็นสเปรดหรือค่าคอมมิชชั่นตามปกติของบัญชีที่คุณใช้งาน
สำหรับเทรดเดอร์ในประเทศไทย โบรกเกอร์ไหนที่แนะนำสำหรับ OCO Orders ในปี 2025?
สำหรับปี 2025 เราขอแนะนำ Moneta Markets เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากแพลตฟอร์ม ProTrader (TradingView) ของพวกเขารองรับคำสั่ง OCO โดยตรง (แบบเนทีฟ) ทำให้ใช้งานง่ายมากและมีความเสถียรสูง ประกอบกับเงื่อนไขการเทรดที่ดีเยี่ยมและการสนับสนุนลูกค้าชาวไทย ทำให้เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ความแตกต่างระหว่างคำสั่ง OCO และ OTO คืออะไร?
OCO (One-Cancels-the-Other): คือการวาง 2 คำสั่งพร้อมกัน เมื่อคำสั่งหนึ่งทำงาน อีกคำสั่งจะถูกยกเลิก (เช่น วาง Buy Stop และ Sell Stop)
OTO (One-Triggers-the-Other): คือการวางคำสั่งหลักหนึ่งคำสั่ง และเมื่อคำสั่งหลักนั้นถูกดำเนินการ มันจะไป “กระตุ้น” ให้เกิดคำสั่งรองอีกหนึ่งหรือสองคำสั่งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ (เช่น เมื่อคำสั่ง Buy Limit ทำงาน มันจะสร้างคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit ขึ้นมาทันที)