GNP คืออะไร? ความเข้าใจพื้นฐานและแนวคิดหลัก

ในแวดวงเศรษฐศาสตร์ การวัดขนาดและความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย จำเป็นต้องอาศัยตัวชี้วัดที่แม่นยำและสะท้อนภาพรวมอย่างมีเหตุผล หนึ่งในเครื่องมือที่เคยได้รับความนิยมสูงในอดีตคือ **ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP)** หรือ Gross National Product ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจศักยภาพทางเศรษฐกิจของพลเมืองในระดับสากล แม้ว่าในปัจจุบัน GDP จะถูกใช้เป็นตัวชี้วัดหลักมากกว่า แต่การรู้จัก GNP ยังคงมีความหมาย โดยเฉพาะในการประเมินว่าประชากรของประเทศนั้นสามารถสร้างรายได้จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกได้มากน้อยเพียงใด บทความนี้จะเจาะลึกถึงความหมาย สูตรการคำนวณ ความแตกต่างจาก GDP และบทบาทของ GNP ในบริบทเศรษฐกิจไทย พร้อมวิเคราะห์ว่าทำไมการวัดผลเศรษฐกิจจึงเปลี่ยนผ่านไป แต่ GNP ยังคงมีคุณค่าในมุมมองเฉพาะด้านอย่างไร
นิยามของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือ GNP คือ มูลค่าตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายทั้งหมดที่ผลิตโดยพลเมืองของประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง โดยไม่คำนึงว่าการผลิตนั้นจะเกิดขึ้นภายในประเทศหรือต่างประเทศ หัวใจสำคัญของ GNP อยู่ที่การยึด “สัญชาติ” เป็นเกณฑ์ ไม่ใช่สถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ไม่ว่าชาวไทยจะไปทำงาน ลงทุน หรือบริหารธุรกิจที่ไหนในโลก ผลตอบแทนที่ได้รับจะถูกนับรวมใน GNP ของประเทศไทย เช่น เงินค่าแรงของแรงงานไทยในญี่ปุ่น หรือกำไรจากบริษัทไทยที่ไปตั้งโรงงานในเวียดนาม ในทางกลับกัน หากนักลงทุนจากสหรัฐฯ มาตั้งบริษัทในไทย รายได้ที่เกิดขึ้นจะไม่ถูกนับใน GNP ของไทย แต่จะไปนับใน GNP ของสหรัฐฯ แทน แนวคิดนี้จึงเน้นที่ “ความมั่งคั่งของชาติ” มากกว่าการวัดว่าอะไรเกิดขึ้นในพื้นที่ประเทศนั้น

เหตุผลที่ GNP มีความสำคัญต่อการวิเคราะห์เศรษฐกิจ
GNP ให้มุมมองที่แตกต่างจากตัวชี้วัดอื่น โดยเน้นที่ความสามารถในการสร้างรายได้ของพลเมืองโดยไม่จำกัดขอบเขตประเทศ ซึ่งมีประโยชน์ต่อการประเมินว่าประเทศนั้นมี “พลังทางเศรษฐกิจ” ในเวทีโลกแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกแรงงาน การลงทุนต่างประเทศ หรือการประกอบธุรกิจข้ามชาติ
ตัวอย่างเช่น ประเทศที่มีการส่งแรงงานไปทำงานในต่างประเทศจำนวนมาก อย่างประเทศไทย เกาหลีใต้ หรือฟิลิปปินส์ รายได้ที่แรงงานเหล่านี้ส่งกลับมาจะส่งผลโดยตรงต่อ GNP ทำให้ตัวเลขนี้อาจสูงกว่า GDP ได้ในบางช่วง ซึ่งบ่งบอกถึงความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก และความสามารถของประชาชนในการสร้างรายได้นอกประเทศ
อย่างไรก็ตาม แม้ GNP จะสะท้อนศักยภาพทางเศรษฐกิจได้ดี แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับการกระจายรายได้ หรือคุณภาพชีวิตโดยรวม หากตัวเลขสูงแต่รายได้กระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มทุนใหญ่หรือบริษัทข้ามชาติ การพัฒนาเศรษฐกิจอาจไม่เท่ากับการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่
องค์ประกอบและวิธีคำนวณ GNP อย่างเข้าใจง่าย
การคำนวณ GNP สามารถทำได้ผ่านหลายแนวทาง แต่รูปแบบที่ใช้กันทั่วไปคือการนำเอาการใช้จ่ายทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจมาบวกกับรายได้สุทธิจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นจุดต่างสำคัญจาก GDP
องค์ประกอบหลักที่ใช้ในการคำนวณ GNP
GNP ประกอบด้วย 5 ส่วนสำคัญ ได้แก่:
- C (การบริโภคภาคเอกชน): รายจ่ายของครัวเรือนเพื่อซื้อสินค้าและบริการ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ค่าเช่า ค่ารักษาพยาบาล และการท่องเที่ยวภายในประเทศ
- I (การลงทุนภาคเอกชน): การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร เช่น การก่อสร้างโรงงาน ซื้อเครื่องจักร หรือการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ใหม่ รวมถึงสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้น
- G (รายจ่ายภาครัฐ): การใช้จ่ายของหน่วยงานรัฐในการซื้อสินค้าและบริการ เช่น การสร้างถนน สะพาน ค่าจ้างข้าราชการ และค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาและสาธารณสุข
- (X-M) (สุทธิการส่งออก): มูลค่าส่งออกสินค้าและบริการ (X) ลบด้วยมูลค่านำเข้า (M) หากค่าบวก แสดงว่าประเทศส่งออกมากกว่านำเข้า ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมเศรษฐกิจ
- NFI (รายได้สุทธิจากต่างประเทศ): ความแตกต่างระหว่างรายได้ที่พลเมืองของประเทศได้รับจากต่างประเทศ กับรายได้ที่ชาวต่างชาติได้รับจากประเทศนั้น เช่น เงินโอนจากแรงงานไทยในต่างประเทศ กำไรจากบริษัทไทยในต่างประเทศ หักด้วยกำไรของบริษัทต่างชาติในไทย หรือค่าตอบแทนของแรงงานต่างด้าวในประเทศ

สูตรการคำนวณ GNP: C + I + G + (X-M) + NFI
โดยสรุป สามารถเขียนสมการของ GNP ได้ดังนี้:
GNP = C + I + G + (X – M) + NFI
เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ลองพิจารณาตัวอย่างสมมติของเศรษฐกิจไทยในปีหนึ่ง:
- การบริโภคภาคเอกชน (C) = 10,000 ล้านบาท
- การลงทุนภาคเอกชน (I) = 3,000 ล้านบาท
- รายจ่ายภาครัฐ (G) = 2,500 ล้านบาท
- การส่งออก (X) = 4,000 ล้านบาท
- การนำเข้า (M) = 3,500 ล้านบาท
- รายได้สุทธิจากต่างประเทศ (NFI) = 500 ล้านบาท
แทนค่าลงในสูตร:
GNP = 10,000 + 3,000 + 2,500 + (4,000 – 3,500) + 500
GNP = 10,000 + 3,000 + 2,500 + 500 + 500 = **16,500 ล้านบาท**
ผลลัพธ์นี้แสดงถึงมูลค่าผลผลิตทั้งหมดที่เกิดจากพลเมืองและบริษัทไทย ทั้งในและนอกประเทศ
GNP และ GDP: เปรียบเทียบความต่างอย่างชัดเจน
GNP และ GDP เป็นตัวชี้วัดที่มักถูกนำมาเปรียบเทียบกัน เนื่องจากทั้งสองเกี่ยวข้องกับขนาดเศรษฐกิจ แต่มีพื้นฐานการวัดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การเข้าใจความต่างนี้จะช่วยให้การตีความข้อมูลเศรษฐกิจมีความแม่นยำมากขึ้น
หัวใจสำคัญของการเปรียบเทียบ
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ “เกณฑ์การนับ”:
- GDP ใช้เกณฑ์ “สถานที่” — นับเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ไม่ว่าใครเป็นผู้ผลิต
- GNP ใช้เกณฑ์ “คน” — นับเฉพาะสิ่งที่ผลิตโดยพลเมืองของประเทศนั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน สามารถเปรียบเทียบผ่านตารางดังนี้:
ลักษณะ | GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ) | GNP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ) |
---|---|---|
เกณฑ์การพิจารณา | พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (ผลิตในประเทศ) | สัญชาติของผู้ผลิต (พลเมืองของประเทศ) |
สิ่งที่นับ |
• ผลผลิตของคนไทยในไทย • ผลผลิตของชาวต่างชาติในไทย |
• ผลผลิตของคนไทยในไทย • ผลผลิตของคนไทยในต่างประเทศ |
สิ่งที่ไม่นับ |
• ผลผลิตของคนไทยในต่างประเทศ |
• ผลผลิตของชาวต่างชาติในไทย |
สูตร | GDP = C + I + G + (X-M) | GNP = C + I + G + (X-M) + NFI |
ตัวอย่างในบริบทไทยเพื่อความเข้าใจลึกยิ่งขึ้น
- กรณีบริษัทไทยลงทุนในต่างประเทศ: เช่น บริษัทปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ไปลงทุนในแหล่งน้ำมันที่บาห์เรน กำไรที่ได้จากโครงการนี้จะนับรวมใน GNP ของไทย แต่ไม่นับใน GDP เนื่องจากเกิดขึ้นนอกประเทศ
- กรณีบริษัทต่างชาติลงทุนในไทย: ตัวอย่างเช่น โรงงานผลิตรถยนต์ของฮอนด้าในระยอง แม้จะจ้างแรงงานไทยและใช้วัตถุดิบในประเทศ แต่ผลผลิตทั้งหมดจะนับใน GDP ของไทย แต่ไม่นับใน GNP (จะไปเพิ่ม GNP ของญี่ปุ่นแทน)
- กรณีแรงงานไทยในต่างประเทศ: แรงงานไทยในซาอุดีอาระเบียที่ส่งเงินกลับบ้าน 10,000 บาทต่อเดือน จะถือเป็นรายได้ที่พลเมืองไทยได้รับจากต่างประเทศ และถูกนับใน GNP ผ่าน NFI แม้จะไม่มีการผลิตใด ๆ เกิดขึ้นในไทย
จากตัวอย่างเหล่านี้ จะเห็นได้ว่า GDP บอกเราว่า “เศรษฐกิจในประเทศกำลังเดินหน้าแค่ไหน” ขณะที่ GNP บอกว่า “คนไทยสามารถสร้างรายได้จากทั่วโลกได้มากแค่ไหน”
ยุคเปลี่ยนผ่าน: ทำไม GDP และ GNI ถึงแทนที่ GNP?
แม้ GNP จะเคยเป็นตัวชี้วัดหลักในยุคก่อน แต่ในยุคปัจจุบัน โลกเศรษฐกิจเริ่มให้ความสำคัญกับ GDP มากกว่า และมีการพัฒนาตัวชี้วัดใหม่ที่ทันสมัยอย่าง GNI (รายได้ประชาชาติเบื้องต้น) แทนที่แนวคิดเดิมของ GNP อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ข้อจำกัดของ GNP ที่ทำให้การใช้งานลดลง
แม้แนวคิดของ GNP จะมีเหตุผล แต่ก็มีข้อเสียที่ส่งผลต่อการนำไปใช้จริง:
- ข้อมูลเก็บรวบรวมยาก: การติดตามรายได้จากพลเมืองในต่างประเทศ เช่น กำไรของบริษัทไทยในต่างประเทศ หรือเงินโอนจากแรงงานต่างด้าว ต้องอาศัยข้อมูลข้ามประเทศที่อาจไม่สมบูรณ์หรือล่าช้า
- ไม่สะท้อนภาพเศรษฐกิจภายใน: สำหรับประเทศที่ต้องการวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจในประเทศ เช่น การกระตุ้นการบริโภค หรือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน GDP ให้ข้อมูลที่ตรงกว่า
- ไม่รวมกิจกรรมนอกระบบ: GNP ไม่ได้บันทึกกิจกรรมที่ไม่มีมูลค่าทางการตลาด เช่น การดูแลเด็ก การทำงานบ้าน หรือการแลกเปลี่ยนแรงงานในชุมชน ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจจริง
- ไม่บอกอะไรเกี่ยวกับคุณภาพชีวิต: ตัวเลข GNP สูงไม่ได้แปลว่าคนส่วนใหญ่มีชีวิตที่ดีขึ้น หากความมั่งคั่งกระจุกอยู่ที่ไม่กี่คน
การเปลี่ยนผ่านสู่ GDP และ GNI
ในทศวรรษ 1990 องค์กรระหว่างประเทศอย่าง ธนาคารโลก และ IMF ได้เปลี่ยนไปใช้ GDP เป็นตัวชี้วัดหลักในการเปรียบเทียบเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เนื่องจากข้อมูล GDP รวบรวมได้ง่ายกว่า และสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศได้ชัดเจน
ในประเทศไทย หน่วยงานหลักที่ดูแลด้านบัญชีประชาชาติอย่าง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ก็ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ตัวเลข GDP เป็นหลัก แม้จะยังคำนวณ GNP อยู่ก็ตาม
นอกจากนี้ แนวคิดของ GNI (Gross National Income) ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเพื่อแทนที่ GNP ในหลายบริบท GNI เน้นการวัด “รายได้” ที่แท้จริงของพลเมืองและบริษัท มากกว่า “ผลผลิต” ซึ่งสอดคล้องกับระบบบัญชีประชาชาติสากล (SNA) มากกว่า และใช้ในดัชนีการพัฒนามนุษย์ (HDI) ของ UNDP เพื่อจัดอันดับประเทศ
การเปลี่ยนผ่านนี้สะท้อนว่าโลกต้องการตัวชี้วัดที่เข้าใจง่าย ตรวจสอบได้ และใช้ในการวางแผนเศรษฐกิจได้ตรงจุดมากขึ้น
GNP กับบทบาทในเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน
ถึงแม้ GDP จะกลายเป็นตัวชี้วัดหลัก แต่ GNP ยังคงมีความหมาย โดยเฉพาะในการประเมินศักยภาพของคนไทยในเวทีโลก
วิเคราะห์ศักยภาพของพลเมืองไทยผ่าน GNP
GNP ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของการมีส่วนร่วมของคนไทยในเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะใน 3 มิติหลัก:
- การลงทุนต่างประเทศ: หาก GNP สูงกว่า GDP อย่างมีนัยสำคัญ แสดงว่าบริษัทหรือบุคคลไทยมีบทบาทในต่างประเทศมาก เช่น การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือการซื้อกิจการในอาเซียน
- แรงงานไทยในต่างประเทศ: ประเทศไทยมีแรงงานราว 1.5 ล้านคนในต่างประเทศ ซึ่งส่งเงินกลับประเทศปีละหลายแสนล้านบาท รายได้เหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของ NFI และ GNP
- ความสามารถในการแข่งขัน: การที่คนไทยสามารถสร้างรายได้จากต่างประเทศ บ่งบอกถึงทักษะ ความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับตัวในตลาดโลก
ดังนั้น การติดตาม GNP หรือองค์ประกอบ NFI จึงมีประโยชน์ต่อการประเมินแนวโน้มการเคลื่อนย้ายแรงงาน การลงทุนข้ามพรมแดน และความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับประเทศคู่ค้า
ผลต่อการวางแผนเศรษฐกิจของไทย
หน่วยงานอย่าง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือกระทรวงการคลัง อาจใช้ GDP เป็นหลัก แต่ข้อมูล GNP โดยเฉพาะ NFI ก็ยังถูกใช้ในการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค
ตัวอย่างเช่น การที่แรงงานไทยส่งเงินกลับประเทศมากขึ้น อาจกระตุ้นการบริโภคในท้องถิ่น และช่วยรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่การขาดทุนจากการลงทุนในต่างประเทศอาจส่งผลให้ NFI ติดลบ และดึง GNP ลง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ต้องเฝ้าระวัง
ในบริบทที่ไทยกำลังผลักดันการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น และพึ่งพาแรงงานส่งออก ความเข้าใจ GNP จึงยังคงมีความเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในการประเมินความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ GNP (FAQs)
GNP คืออะไร และต่างจาก GDP อย่างไรในบริบทของประเทศไทย?
GNP (Gross National Product) คือ มูลค่าสินค้าและบริการที่ผลิตโดยพลเมืองไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก ส่วน GDP (Gross Domestic Product) คือ มูลค่าสินค้าและบริการที่ผลิตภายในประเทศไทยไม่ว่าจะโดยพลเมืองไทยหรือต่างชาติ ในบริบทของไทย หากคนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ รายได้จะนับใน GNP แต่ไม่นับใน GDP ในทางกลับกัน หากต่างชาติมาลงทุนในไทย รายได้จะนับใน GDP แต่ไม่นับใน GNP ของไทย
เราสามารถใช้ GNP ในการประเมินสุขภาพเศรษฐกิจของไทยได้อย่างไร?
GNP ช่วยสะท้อนถึงความสามารถในการสร้างรายได้และความมั่งคั่งโดยรวมของพลเมืองไทย รวมถึงรายได้จากการลงทุนและการทำงานในต่างประเทศ หาก GNP สูงและเติบโต แสดงว่าพลเมืองไทยมีศักยภาพในการสร้างรายได้ที่ดีในระดับสากล ซึ่งส่งผลดีต่อความมั่งคั่งของประเทศโดยรวม อย่างไรก็ตาม การประเมินสุขภาพเศรษฐกิจควรพิจารณาร่วมกับ GDP และตัวชี้วัดอื่นๆ ด้วย
GNP ของไทยมีการคำนวณและเผยแพร่โดยหน่วยงานใด?
ในประเทศไทย หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการคำนวณและเผยแพร่ข้อมูลบัญชีประชาชาติ รวมถึง GNP คือ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (NESDC) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน NESDC ให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ข้อมูล GDP เป็นหลัก
ทำไม GNI ถึงเป็นตัวชี้วัดที่ทันสมัยกว่า GNP ในยุคปัจจุบัน?
GNI (Gross National Income) เป็นแนวคิดที่คล้ายกับ GNP มาก โดย GNI วัดรายได้ทั้งหมดที่พลเมืองและธุรกิจของประเทศได้รับ ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานบัญชีประชาชาติสากล (System of National Accounts – SNA) ที่ได้รับการยอมรับในปัจจุบันมากกว่า และให้ภาพที่ชัดเจนกว่าในแง่ของ “รายได้” ที่แท้จริงของชาติ
ปัจจัยอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อ GNP ของประเทศไทย?
- การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่คนไทยไปลงทุน
- อัตราการส่งออกและนำเข้าสินค้าและบริการ
- การลงทุนของภาคเอกชนและภาครัฐ
- อัตราการส่งเงินกลับประเทศของแรงงานไทยในต่างแดน
- กำไรหรือขาดทุนจากการลงทุนของบริษัทไทยในต่างประเทศ
การลงทุนของคนไทยในต่างประเทศส่งผลต่อ GNP อย่างไร?
การลงทุนของคนไทย (ทั้งบุคคลและบริษัท) ในต่างประเทศ หากก่อให้เกิดรายได้หรือกำไร รายได้เหล่านั้นจะถูกนับรวมในส่วนของรายได้สุทธิจากต่างประเทศ (NFI) ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของ GNP ดังนั้น หากการลงทุนในต่างประเทศประสบความสำเร็จและสร้างรายได้จำนวนมาก ก็จะส่งผลให้ GNP ของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น
GNP มีข้อจำกัดอะไรบ้างในการสะท้อนคุณภาพชีวิตของคนไทย?
GNP เป็นเพียงตัวชี้วัดปริมาณผลผลิตและรายได้ ไม่ได้สะท้อนถึงการกระจายรายได้ ความเหลื่อมล้ำ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ การศึกษา หรือความสุขของประชากรโดยตรง แม้ GNP จะสูง แต่อาจมีคนจำนวนมากยังคงมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี หากรายได้กระจุกตัวอยู่ที่คนกลุ่มน้อย
GNP ที่ลดลงอาจบอกอะไรเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย?
GNP ที่ลดลงอาจบ่งชี้ว่าพลเมืองไทยมีความสามารถในการสร้างรายได้ลดลง ทั้งจากการผลิตภายในประเทศและการลงทุนในต่างประเทศ หรืออาจเกิดจากรายได้ที่ชาวต่างชาติได้รับจากไทยเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คนไทยได้รับจากต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการลงทุนระหว่างประเทศที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อพลเมืองไทย
GNP และ NNP มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
NNP (Net National Product) หรือ ผลิตภัณฑ์ประชาชาติสุทธิ คือ GNP ที่หักค่าเสื่อมราคาของทุนออกไปแล้ว ค่าเสื่อมราคาคือมูลค่าการสึกหรอหรือล้าสมัยของเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิต NNP จึงให้ภาพของผลผลิตที่แท้จริงหลังจากหักต้นทุนการบำรุงรักษาหรือทดแทนสินทรัพย์แล้ว สูตรคือ NNP = GNP – ค่าเสื่อมราคา
นักลงทุนควรพิจารณา GNP เมื่อประเมินโอกาสในตลาดไทยหรือไม่?
แม้ว่านักลงทุนส่วนใหญ่จะใช้ GDP เป็นหลักในการประเมินขนาดและศักยภาพของตลาดภายในประเทศ แต่การพิจารณา GNP ก็มีประโยชน์ในการทำความเข้าใจถึงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจโดยรวมของพลเมืองไทย และความสามารถในการสร้างรายได้จากกิจกรรมในต่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อกำลังซื้อภายในประเทศ หรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระยะยาวได้