บทนำ: ทำไมเลเวอเรจถึงสำคัญสำหรับนักลงทุนมือใหม่?
ในโลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและอุปสรรค ตลาดการเงินอย่างฟอเร็กซ์หรือการเทรดซีเอฟดีดึงดูดนักลงทุนจำนวนไม่น้อยด้วยโอกาสในการทำกำไรที่สูงลิ่ว แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น ทุกอย่างอาจดูน่าปวดหัวและเต็มไปด้วยคำถาม เครื่องมือหนึ่งที่ทรงพลังแต่ถูกเข้าใจผิดบ่อยครั้งคือเลเวอเรจ

เลเวอเรจเปรียบเสมือนดาบสองคมที่สามารถขยายทั้งกำไรและขาดทุนได้ในคราวเดียวกัน มันช่วยให้นักลงทุนควบคุมตำแหน่งเทรดที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนจริงที่ตัวเองมี ซึ่งเปิดโอกาสมหาศาลแต่ก็ซ่อนความเสี่ยงร้ายแรงไว้ หากขาดความเข้าใจและการใช้อย่างรอบคอบ บทความนี้จึงตั้งใจเป็นคู่มือครบถ้วนสำหรับมือใหม่ ช่วยให้คุณรู้จักเลเวอเรจว่ามันคืออะไร ทำงานยังไง และที่สำคัญคือวิธีนำไปใช้อย่างปลอดภัยและรับผิดชอบ เพื่อให้คุณก้าวสู่ตลาดการเงินด้วยความมั่นใจและยั่งยืนยาวนาน
เลเวอเรจ (Leverage) คืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐาน
คำจำกัดความของเลเวอเรจ
เลเวอเรจ หรือที่รู้จักในภาษาไทยว่าอัตราทด คือวิธีที่นักลงทุนนำทุนจำนวนน้อยมาควบคุมตำแหน่งเทรดขนาดใหญ่ในตลาดการเงิน กล่าวง่ายๆ คือการยืมกำลังซื้อจากโบรกเกอร์เพื่อขยายขนาดการลงทุนของคุณ เช่น ถ้าคุณใช้เลเวอเรจ 1:100 ทุน 1 ดอลลาร์ของคุณจะควบคุมการเทรดมูลค่า 100 ดอลลาร์ได้ นี่คือหลักการพื้นฐานที่ทำให้เลเวอเรจได้รับความนิยมในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวราคาไม่มากอย่างฟอเร็กซ์ เพราะช่วยให้เกิดผลตอบแทนที่น่าจับตามองแม้จากความเปลี่ยนแปลงราคาเพียงเล็กน้อย

เลเวอเรจทำงานอย่างไรในตลาดการเงิน
การทำงานของเลเวอเรจไม่ได้ซับซ้อนแค่การยืมเงินธรรมดา แต่โบรกเกอร์จะกำหนดให้คุณวางหลักประกันหรือมาร์จิ้น ซึ่งคือส่วนหนึ่งของทุนในบัญชี เพื่อค้ำประกันการเปิดตำแหน่งเทรด มาร์จิ้นนี้ไม่ใช่ค่าธรรมเนียม แต่เป็นเงินที่ถูกแช่แข็งชั่วคราวเพื่อให้คุณใช้เลเวอเรจได้
สมมติว่าคุณอยากเทรดคู่สกุลเงิน EUR/USD ขนาด 100,000 หน่วย หรือ 1 สแตนดาร์ดล็อต ถ้าโบรกเกอร์ให้เลเวอเรจ 1:100 คุณต้องใช้มาร์จิ้นแค่ 1 ใน 100 ของมูลค่ารวม หรือ 1,000 ดอลลาร์ เพื่อควบคุมตำแหน่ง 100,000 ดอลลาร์ ถ้าไม่มีเลเวอเรจ คุณต้องมีทุนเต็ม 100,000 ดอลลาร์กว่าจะเปิดได้ ดังนั้นเลเวอเรจจึงเพิ่มพลังซื้อให้กับนักลงทุนอย่างแท้จริง
ความแตกต่างระหว่างเลเวอเรจและมาร์จิ้น (Margin)
แม้เลเวอเรจและมาร์จิ้นจะเกี่ยวพันกัน แต่ทั้งคู่แตกต่างกันชัดเจน เลเวอเรจคืออัตราส่วนที่บอกถึงพลังขยายการลงทุนของคุณ หรือศักยภาพในการควบคุมขนาดเทรด ส่วนมาร์จิ้นคือเงินจริงที่คุณต้องวางเป็นหลักประกัน มาร์จิ้นจะถูกกักไว้ในบัญชีตราบใดที่ตำแหน่งยังเปิดอยู่ และคืนให้เมื่อปิดเทรด
- เลเวอเรจ: กำหนดว่าคุณควบคุมมูลค่าเทรดได้เท่าไหร่เทียบกับทุน เช่น 1:50, 1:100, 1:500
- มาร์จิ้น: จำนวนเงินที่โบรกเกอร์เรียกใช้เป็นหลักประกัน คำนวณจากขนาดตำแหน่งและอัตราทดที่เลือก
สรุปแล้ว เลเวอเรจช่วยให้เข้าถึงตลาดด้วยทุนน้อยลง ขณะที่มาร์จิ้นคือทุนขั้นต่ำที่จำเป็นสำหรับการใช้เลเวอเรจนั้น
ข้อดีและข้อควรระวังของการใช้เลเวอเรจสำหรับมือใหม่

ข้อดี: เพิ่มศักยภาพในการทำกำไร
สิ่งที่ทำให้เลเวอเรจดึงดูดใจนักลงทุนคือความสามารถในการขยายโอกาสทำกำไร ด้วยทุนจำกัด คุณเปิดตำแหน่งขนาดใหญ่ได้ ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของราคาส่งผลต่อกำไรหรือขาดทุนในอัตราที่สูงขึ้น เช่น ถ้าไม่มีเลเวอเรจ การเปลี่ยนแปลงราคา 10 จุดอาจให้กำไรแค่ไม่กี่ดอลลาร์ แต่กับเลเวอเรจ 1:100 การเคลื่อนไหวเดียวกันนั้นอาจกลายเป็น 100 ดอลลาร์หรือมากกว่า สิ่งนี้ทำให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่ราคาเคลื่อนไหวช้าๆ อย่างฟอเร็กซ์
ข้อควรระวัง: ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและโอกาสในการขาดทุน
แต่เช่นเดียวกับทุกสิ่ง เลเวอเรจมีด้านมืดคือความเสี่ยงที่พุ่งสูงขึ้น การขยายกำไรก็หมายถึงการขยายขาดทุนด้วย ถ้าตลาดไปผิดทางที่คาด ทุนของคุณอาจหายวับไปในพริบตา
มือใหม่ต้องรู้จักมาร์จิ้นคอลและสต็อปเอาท์ เมื่อตำแหน่งขาดทุนจนทุนในบัญชีต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด คุณจะได้แจ้งเตือนมาร์จิ้นคอล ซึ่งบอกให้เติมเงินหรือลดขนาดตำแหน่ง ถ้าปล่อยไว้และขาดทุนต่อ โบรกเกอร์จะปิดตำแหน่งอัตโนมัติเรียกว่าสต็อปเอาท์ เพื่อไม่ให้ขาดทุนเกินทุนทั้งหมด สิ่งนี้เสี่ยงมากสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์ เพราะอาจสูญเสียทุกอย่างได้เร็ว
การเลือกใช้เลเวอเรจที่เหมาะสม: กลยุทธ์สำหรับนักลงทุนมือใหม่
การเลือกเลเวอเรจให้พอดีคือกุญแจสำคัญสำหรับมือใหม่ เพื่อเทรดอย่างปลอดภัยและยั่งยืน นี่คือกลยุทธ์และปัจจัยที่ควรพิจารณา
ปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อนเลือกเลเวอเรจ
ไม่มีอัตราทดไหนที่เหมาะกับทุกคน การเลือกต้องดูหลายปัจจัย
- ทุนของคุณ: ถ้าทุนน้อย เลเวอเรจสูงอาจดูน่าลอง แต่เสี่ยงสูง เริ่มด้วยทุนที่รับความเสี่ยงได้
- ประสบการณ์: มือใหม่ควรใช้เลเวอเรจต่ำเพื่อเรียนรู้ตลาดก่อน เมื่อชำนาญแล้วค่อยเพิ่ม
- ความอดทนต่อความเสี่ยง: ถ้าคุณกลัวขาดทุนมาก เลือกอัตราต่ำ
- กลยุทธ์เทรด: เทรดเดอร์ระยะสั้นอย่างเดย์เทรดหรือสแกลปปิ้งอาจใช้สูงกว่าเทรดระยะยาว แต่ต้องจัดการความเสี่ยงเข้มงวด
การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกเลเวอเรจที่เข้ากับสไตล์ตัวเอง โดยไม่เสี่ยงเกินไป
เลเวอเรจยอดนิยมสำหรับมือใหม่: 1:50, 1:100, 1:200 คืออะไร?
โบรกเกอร์มักมีอัตราทดหลากหลาย แต่สำหรับมือใหม่ เริ่มด้วยระดับที่ไม่สูงเกินไปดีที่สุด อัตราที่นิยมและค่อนข้างปลอดภัย ได้แก่
- 1:50: ทุน 1 หน่วยควบคุม 50 หน่วย ต่ำพอสำหรับเรียนรู้และควบคุมความเสี่ยง
- 1:100: ทุน 1 หน่วยควบคุม 100 หน่วย สมดุลระหว่างกำไรและความเสี่ยงที่จัดการได้
- 1:200: ทุน 1 หน่วยควบคุม 200 หน่วย สูงขึ้น ต้องมีวินัยในการจัดการความเสี่ยง
คำแนะนำคือเริ่มที่ 1:50 หรือ 1:100 แล้วค่อยเพิ่มเมื่อมั่นใจในตลาดมากขึ้น เพื่อสร้างฐานที่มั่นคง
ตัวอย่างการคำนวณเลเวอเรจและการบริหารความเสี่ยงด้วยเงินทุนจริง (泰國情境化)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองดูตัวอย่างการคำนวณเลเวอเรจและจัดการความเสี่ยง
สมมติคุณเทรดทองคำ ทุนเริ่มต้น 10,000 บาท โบรกเกอร์ให้เลเวอเรจ 1:100 คุณเปิดซื้อทอง 0.1 ล็อต (1 สแตนดาร์ดล็อตทองคือ 100 ออนซ์) ราคาทอง 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ = 35 บาท
- มูลค่ารวม: 0.1 ล็อต x 100 ออนซ์ x 2,000 USD = 20,000 USD
- มาร์จิ้น (1:100): 20,000 / 100 = 200 USD
- มาร์จิ้นเป็นบาท: 200 x 35 = 7,000 บาท
คุณใช้แค่ 7,000 บาทควบคุมตำแหน่งมูลค่า 700,000 บาท (20,000 USD x 35)
บริหารความเสี่ยง: ทุนเหลือ 3,000 บาท ถ้าราคาทองตก 10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขาดทุน 100 ดอลลาร์หรือ 3,500 บาท ถ้าไม่ตั้งสต็อปลอส ทุนเหลืออาจหมดไว
ดังนั้นตั้งสต็อปลอสสำคัญมาก เช่น ที่ 5 ดอลลาร์ต่ำกว่าราคาเข้า ขาดทุนจำกัดที่ 50 ดอลลาร์หรือ 1,750 บาท การตั้งเทคพรอฟิตเพื่อล็อกกำไรก็ช่วยให้กลยุทธ์สมบูรณ์ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้เลเวอเรจ
ตารางที่ 1: เปรียบเทียบมาร์จิ้นที่ต้องการสำหรับเลเวอเรจและขนาด Lot ที่แตกต่างกัน (สมมติ EUR/USD ราคา 1.1000)
อัตราเลเวอเรจ | ขนาด Lot (Standard Lot = 100,000 หน่วย) | มูลค่าการซื้อขาย (USD) | มาร์จิ้นที่ต้องใช้ (USD) |
---|---|---|---|
1:50 | 0.1 Lot | 10,000 | 200 |
1:100 | 0.1 Lot | 10,000 | 100 |
1:200 | 0.1 Lot | 10,000 | 50 |
1:500 | 0.1 Lot | 10,000 | 20 |
ข้อผิดพลาดที่มือใหม่มักทำกับการใช้เลเวอเรจและวิธีหลีกเลี่ยง
มือใหม่หลายคนพลาดเรื่องเลเวอเรจซ้ำๆ จนขาดทุนหนัก การรู้จักข้อผิดพลาดเหล่านี้และหลีกเลี่ยงจะช่วยให้เทรดได้ยั่งยืน
ใช้เลเวอเรจสูงเกินไปตั้งแต่เริ่มต้น
ข้อผิดพลาดหลักคือรีบใช้เลเวอเรจสูงอย่าง 1:500 หรือ 1:1000 หวังกำไรไว การเคลื่อนไหวราคาเล็กน้อยก็อาจทำให้ขาดทุนหนักหรือโดนมาร์จิ้นคอล การเปิดตำแหน่งใหญ่เกินด้วยอัตราสูงใช้มาร์จิ้นมาก ทิ้งทุนสำรองน้อย สร้างแรงกดดันจิตใจและตัดสินใจผิด
หลีกเลี่ยงอย่างไร: เริ่มต่ำที่ 1:50 หรือ 1:100 แล้วค่อยเพิ่มตามประสบการณ์ อย่าให้ความโลภนำ ระวังตัวเสมอ
ไม่มีการบริหารจัดการเงินทุนที่ดี
ขาดการวางแผนทุนคือสาเหตุใหญ่ของความสูญเสีย การใช้เลเวอเรจโดยไม่กำหนดความเสี่ยงต่อเทรดอันตรายมาก ต้องมีกลยุทธ์กำหนดขนาดล็อตให้เหมาะกับทุนและความเสี่ยง
หลีกเลี่ยงอย่างไร: ตั้งกฎชัด เช่น เสี่ยงไม่เกิน 1-2% ต่อเทรด กฎนี้ป้องกันสูญเสียใหญ่จากครั้งเดียว ศึกษาเรื่องจัดการทุนและขนาดล็อตเพิ่มเติม ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการเงินทุนในการเทรด
ละเลยการตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss)
ไม่ตั้งสต็อปลอสคือการเปิดทางให้ขาดทุนไม่สิ้นสุด กับเลเวอเรจ ราคาเปลี่ยนนิดเดียวก็รุนแรง ถ้าไม่มีสต็อปลอส ตำแหน่งอาจโดนล้างพอร์ตไว สูญทุนทั้งหมด
หลีกเลี่ยงอย่างไร: ตั้งสต็อปลอสทุกเทรด! มันปิดตำแหน่งอัตโนมัติเมื่อถึงจุดที่กำหนด จำกัดขาดทุนในระดับยอมรับได้ สต็อปลอสแสดงวินัยและความรับผิดชอบ คำนวณจากกลยุทธ์และความเสี่ยง
สรุป: เลเวอเรจเครื่องมือทรงพลังที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
เลเวอเรจคือเครื่องมือมหัศจรรย์ในตลาดการเงินที่ขยายทั้งกำไรและขาดทุน สำหรับมือใหม่ การเข้าใจกลไก ข้อดีข้อเสีย และการจัดการความเสี่ยงคือสิ่งจำเป็น การใช้แบบไม่ระวังอาจสูญทุนทั้งหมดในชั่วพริบตา
กุญแจสู่การใช้อย่างปลอดภัยคือการเรียนรู้ไม่หยุด ฝึกฝน และวินัย เริ่มด้วยอัตราต่ำ เข้าใจการจัดการทุน ไม่ละเลยสต็อปลอส และเทรดด้วยสติ อย่าให้โลภครอบงำ
การสะสมประสบการณ์จากจุดเล็กๆ จะสร้างรากฐานแข็งแกร่งสำหรับนักลงทุนระยะยาว จงมองเลเวอเรจเป็นเครื่องมือที่ต้องเคารพพลัง เพื่อบรรลุเป้าหมายการเงินอย่างยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเวอเรจสำหรับมือใหม่ (FAQs)
1. เลเวอเรจ 1:1000 คืออะไร และมือใหม่ควรใช้ในระดับนี้หรือไม่?
เลเวอเรจ 1:1000 หมายถึงคุณสามารถควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้ถึง 1,000 เท่าของเงินทุนที่คุณวางเป็นมาร์จิ้น ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนที่สูงมาก และไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่โดยเด็ดขาด การเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้คุณขาดทุนมหาศาลและถูกมาร์จิ้นคอลหรือ Stop Out ได้อย่างรวดเร็ว มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยเลเวอเรจที่ต่ำกว่ามาก เช่น 1:50 หรือ 1:100 เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจตลาดก่อน
2. ตามฟอรัม Pantip เลเวอเรจเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมสำหรับเทรด Forex?
จากการสังเกตในฟอรัม Pantip และจากคำแนะนำของผู้มีประสบการณ์ มักจะแนะนำให้มือใหม่เริ่มต้นด้วยเลเวอเรจที่ไม่สูงเกินไป เช่น 1:50 หรือ 1:100 เป็นหลัก เพื่อให้มีพื้นที่ในการบริหารความเสี่ยงและเรียนรู้กลไกของตลาด การใช้เลเวอเรจสูงๆ เช่น 1:500 หรือ 1:1000 มักจะถูกสงวนไว้สำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์สูงและมีระบบบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดเท่านั้น
3. การเทรดทองคำ (Gold) ควรใช้เลเวอเรจในอัตราส่วนเท่าใดจึงจะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ?
ตลาดทองคำมีความผันผวนสูงกว่าคู่สกุลเงินหลักบางคู่ ดังนั้นการใช้เลเวอเรจสำหรับการเทรดทองคำจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ สำหรับมือใหม่ เลเวอเรจ 1:50 หรือ 1:100 ยังคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด หากคุณมีความเข้าใจในตลาดทองคำและการบริหารความเสี่ยงที่ดีขึ้น อาจพิจารณาเพิ่มเป็น 1:200 แต่ควรหลีกเลี่ยงเลเวอเรจที่สูงกว่านี้ในระยะเริ่มต้น
4. หากใช้เลเวอเรจ 1:1 จะมีข้อดีและข้อเสียอย่างไรเมื่อเทียบกับการใช้เลเวอเรจสูง?
การใช้เลเวอเรจ 1:1 หมายถึงคุณใช้เงินทุนเต็มจำนวนในการเปิดสถานะ โดยไม่มีการยืมอำนาจซื้อจากโบรกเกอร์
- ข้อดี: ความเสี่ยงต่ำมาก คุณไม่มีโอกาสถูกมาร์จิ้นคอลหรือ Stop Out เพราะไม่มีภาระมาร์จิ้น ทำให้เป็นการเทรดที่ปลอดภัยที่สุด
- ข้อเสีย: ศักยภาพในการทำกำไรต่ำ เนื่องจากคุณเปิดสถานะได้เพียงขนาดเท่ากับเงินทุนจริงของคุณ ทำให้ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากเพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ และอาจไม่เหมาะกับตลาดที่มีความผันผวนต่ำอย่าง Forex
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เน้นความปลอดภัยสูงสุดและมีเงินทุนจำนวนมาก
5. เมื่อถูกมาร์จิ้นคอล (Margin Call) เพราะใช้เลเวอเรจสูงเกินไป นักลงทุนมือใหม่ควรรับมืออย่างไร?
เมื่อถูกมาร์จิ้นคอล สิ่งสำคัญที่สุดคือการตั้งสติและประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบ
- เติมเงินเข้าบัญชี: เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดเพื่อเพิ่ม Margin Level และป้องกัน Stop Out
- ปิดสถานะบางส่วนหรือทั้งหมด: ลดขนาดสถานะที่ขาดทุนลง เพื่อลดมาร์จิ้นที่ถูกใช้ไปและเพิ่ม Margin Level
- พิจารณากลยุทธ์: นี่เป็นสัญญาณเตือนว่ากลยุทธ์หรือการบริหารความเสี่ยงของคุณอาจมีปัญหา ควรทบทวนและปรับปรุงทันที
อย่าพยายาม “ถัวเฉลี่ย” ด้วยการเปิดสถานะเพิ่มโดยไม่มีการวิเคราะห์ที่ดี เพราะอาจทำให้ขาดทุนหนักขึ้นไปอีก
6. โบรกเกอร์ Forex ในไทยหรือต่างประเทศมีอัตราเลเวอเรจต่างกัน ควรเลือกอย่างไรให้เหมาะกับมือใหม่?
โบรกเกอร์แต่ละเจ้ามีนโยบายเลเวอเรจที่แตกต่างกัน สำหรับมือใหม่ ควรเลือกโบรกเกอร์ที่:
- ได้รับการกำกับดูแล: เลือกโบรกเกอร์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เชื่อถือได้ เช่น FCA (สหราชอาณาจักร), ASIC (ออสเตรเลีย) หรือ CySEC (ไซปรัส) เพื่อความปลอดภัยของเงินทุน
- เสนอเลเวอเรจที่ยืดหยุ่น: โบรกเกอร์ที่ดีควรอนุญาตให้คุณเลือกอัตราเลเวอเรจที่เหมาะสมกับคุณได้เอง ไม่ใช่บังคับให้ใช้เลเวอเรจสูง
- มีแหล่งข้อมูลการศึกษา: โบรกเกอร์ที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกค้าจะเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ในการเรียนรู้เพิ่มเติม
ไม่ควรเลือกโบรกเกอร์เพียงเพราะเสนอเลเวอเรจที่สูงลิ่ว แต่ควรพิจารณาความน่าเชื่อถือและการสนับสนุนเป็นหลัก
7. สามารถปรับเปลี่ยนอัตราเลเวอเรจในบัญชีเทรดได้หรือไม่ และมีผลต่อการเทรดอย่างไร?
ได้ครับ/ค่ะ โดยทั่วไปแล้ว โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะอนุญาตให้นักลงทุนปรับเปลี่ยนอัตราเลเวอเรจในบัญชีเทรดได้ แต่คุณอาจต้องติดต่อฝ่ายสนับสนุนลูกค้าหรือดำเนินการผ่านพอร์ทัลลูกค้าของโบรกเกอร์
การปรับเปลี่ยนเลเวอเรจมีผลโดยตรงต่อ:
- มาร์จิ้นที่ต้องใช้: เลเวอเรจที่สูงขึ้นจะลดมาร์จิ้นที่ต้องใช้ในการเปิดสถานะขนาดเท่าเดิม ทำให้มีเงินทุนอิสระ (Free Margin) เหลือมากขึ้น
- ความเสี่ยง: เลเวอเรจที่สูงขึ้นจะเพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนและโอกาสถูกมาร์จิ้นคอล เนื่องจากทุกการเคลื่อนไหวของราคาจะส่งผลกระทบต่อบัญชีของคุณมากขึ้น
ควรปรับเลเวอเรจเมื่อคุณมีความเข้าใจและประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น
8. การใช้เลเวอเรจที่แตกต่างกันส่งผลต่อขนาดของ Lot Size และมูลค่าต่อจุด (Pip Value) อย่างไร?
เลเวอเรจไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อขนาดของ Lot Size หรือมูลค่าต่อจุด (Pip Value) โดยตรง แต่มีผลต่อจำนวนเงินมาร์จิ้นที่ต้องใช้ในการเปิด Lot Size นั้นๆ
- Lot Size: คือหน่วยมาตรฐานของการซื้อขาย (เช่น 1 Standard Lot = 100,000 หน่วย)
- Pip Value: คือมูลค่าการเปลี่ยนแปลงของราคา 1 จุด (Pip) สำหรับ Lot Size นั้นๆ ซึ่งเป็นค่าคงที่สำหรับแต่ละคู่สกุลเงินและขนาด Lot
เลเวอเรจที่สูงขึ้นช่วยให้คุณสามารถเปิด Lot Size ที่ใหญ่ขึ้นได้ด้วยเงินมาร์จิ้นที่น้อยลง แต่ถ้าคุณเปิด Lot Size เท่าเดิม การใช้เลเวอเรจที่แตกต่างกันจะเพียงแค่เปลี่ยนจำนวนมาร์จิ้นที่ถูกกันไว้ ไม่ได้เปลี่ยนมูลค่า Pip Value
9. มีกฎหมายหรือข้อจำกัดเฉพาะของไทยเกี่ยวกับการใช้เลเวอเรจในการเทรด Forex สำหรับรายย่อยหรือไม่?
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ ปี 2567) การเทรด Forex กับโบรกเกอร์ต่างประเทศสำหรับรายย่อยในประเทศไทยยังคงเป็นพื้นที่สีเทา ยังไม่มีกฎหมายหรือหน่วยงานกำกับดูแลที่ออกใบอนุญาตหรือข้อจำกัดเลเวอเรจโดยตรงสำหรับโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ให้บริการในไทย อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์ต่างประเทศที่ได้รับการกำกับดูแลในประเทศต้นทาง (เช่น FCA, ASIC) มักจะมีข้อจำกัดเลเวอเรจสำหรับลูกค้ารายย่อยตามกฎระเบียบของประเทศนั้นๆ ซึ่งอาจแตกต่างกันไป
ดังนั้น นักลงทุนไทยจึงควรศึกษาและเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและได้รับการกำกับดูแล เพื่อความปลอดภัยของเงินทุนของคุณเป็นสำคัญ ศึกษาข้อมูลการลงทุนเพิ่มเติมจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
10. เลเวอเรจ 1:2000 แตกต่างจาก 1:500 อย่างไร และเหมาะกับสถานการณ์การเทรดแบบไหน?
เลเวอเรจ 1:2000 หมายถึงคุณใช้มาร์จิ้นน้อยลงไปอีกเมื่อเทียบกับ 1:500 ถึง 4 เท่า (1/2000 vs 1/500) ซึ่งทำให้คุณสามารถควบคุมสถานะที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้อย่างมหาศาลด้วยเงินทุนที่น้อยมาก
- ความแตกต่าง: 1:2000 ต้องการมาร์จิ้นที่ต่ำกว่า 1:500 อย่างมีนัยสำคัญ
- เหมาะกับสถานการณ์: เลเวอเรจที่สูงเช่น 1:2000 มักจะเหมาะกับนักเทรดที่มีประสบการณ์สูงมาก มีระบบการเทรดที่รัดกุม มีการบริหารจัดการเงินทุนที่เข้มข้น และเข้าใจความเสี่ยงอย่างถ่องแท้ รวมถึงนักเทรดที่อาจใช้กลยุทธ์ Hedging หรือการเทรดในปริมาณน้อยๆ แต่ต้องการ Free Margin สูงๆ เพื่อให้ระบบทำงานได้ราบรื่น ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่และนักเทรดทั่วไป เนื่องจากความเสี่ยงในการขาดทุนสูงเกินกว่าจะควบคุมได้