บทนำ: ทำความเข้าใจโลกของคีย์เวิร์ดและการจัดการความไม่เกี่ยวข้อง
คีย์เวิร์ดคืออะไร และทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจออนไลน์ในยุคดิจิทัล?
ในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยการค้นหาออนไลน์ คีย์เวิร์ดเปรียบเหมือนเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างลูกค้าที่กำลังหาสินค้าหรือบริการ กับร้านค้าที่พร้อมตอบสนองความต้องการเหล่านั้น คีย์เวิร์ดคือคำหรือชุดคำที่ผู้ใช้พิมพ์ลงในเครื่องมือค้นหา เช่น Google เพื่อหาข้อมูล สินค้า หรือบริการที่ต้องการ สำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเมื่อใช้ Google Ads หรือการปรับแต่งเว็บให้ติดอันดับการค้นหา การเลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงจุดช่วยให้เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้ดีขึ้น สร้างการจดจำแบรนด์ และเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย หากพลาดเลือกคีย์เวิร์ดที่ไม่ตรง อาจทำให้โฆษณาไม่ปรากฏต่อคนที่สนใจจริง ส่งผลให้สูญเสียทั้งเวลาและเงินทุนไปโดยเปล่าประโยชน์

ความท้าทายของ “คีย์เวิร์ดที่ไม่สามารถจัดหมวดหมู่ได้ (ไม่เกี่ยวข้อง)” คืออะไร?
แม้คีย์เวิร์ดจะเป็นส่วนสำคัญ แต่ธุรกิจหลายแห่งก็ต้องเผชิญกับอุปสรรคจากคีย์เวิร์ดที่ดูคล้ายกันแต่ไม่ตรงจุด หรือที่เรียกว่าคีย์เวิร์ดไม่เกี่ยวข้อง คำค้นเหล่านี้แม้จะใกล้เคียงกับสิ่งที่คุณขาย แต่กลับไม่นำมาซึ่งลูกค้าคุณภาพ หรือดึงดูดกลุ่มคนที่ไม่ใช่เป้าหมายหลัก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจำหน่ายกาแฟสดใหม่ โฆษณาอาจไปโผล่ตอนคนค้นหาเมล็ดกาแฟดิบหรือเครื่องชงกาแฟเก่า ซึ่งไม่ใช่ลูกค้าหลักที่คุณต้องการ สถานการณ์แบบนี้ทำให้เกิดการคลิกที่ไร้ประโยชน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Invalid Clicks ซึ่งกินงบโฆษณาโดยไม่เกิดผลลัพธ์ สร้างปัญหาใหญ่ให้กับกลยุทธ์การตลาดที่ใช้เครื่องมือค้นหาแบบเสียเงิน

เจาะลึก: Negative Keywords (คีย์เวิร์ดเชิงลบ) คืออะไร และทำงานอย่างไร?
คำจำกัดความและวัตถุประสงค์ของ Negative Keywords
คีย์เวิร์ดเชิงลบ หรือ Negative Keywords คือรายการคำหรือวลีที่คุณใส่ลงในแคมเปญ Google Ads เพื่อหยุดไม่ให้โฆษณาแสดงผลเมื่อมีคนค้นหาสิ่งเหล่านั้น เป้าหมายหลักคือทำให้โฆษณาของคุณไปปรากฏเฉพาะต่อผู้ที่กำลังหาสิ่งที่คุณมีจริงๆ เท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายรองเท้าวิ่งเพื่อสุขภาพ คุณอาจใส่คำว่ารองเท้าแฟชั่นเป็นคีย์เวิร์ดเชิงลบ เพื่อไม่ให้โฆษณาไปรบกวนคนที่สนใจแฟชั่นมากกว่าการออกกำลังกาย การนำคีย์เวิร์ดเชิงลบมาใช้อย่างชาญฉลาดช่วยให้คุณควบคุมทิศทางของโฆษณาได้ละเอียดและแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่การแข่งขันสูงอย่างประเทศไทย

ประโยชน์หลักของการใช้ Negative Keywords ใน Google Ads
การนำคีย์เวิร์ดเชิงลบมาใช้อย่างมีกลยุทธ์สามารถยกระดับแคมเปญ Google Ads ได้หลายด้าน ดังนี้:
- ประหยัดงบประมาณ: ช่วยป้องกันการคลิกที่ไม่มีคุณค่า ทำให้เงินที่ลงทุนไปถูกใช้กับลูกค้าที่ตรงกลุ่ม ส่งผลให้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ตามที่ Google อธิบายในคู่มืออย่างเป็นทางการ
- เพิ่มความเกี่ยวข้องของโฆษณา: โฆษณาจะแสดงเฉพาะต่อการค้นหาที่ตรงกับธุรกิจของคุณ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่ามันตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาจริงๆ
- เพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR): เมื่อโฆษณาเกี่ยวข้องมากขึ้น ผู้คนก็ยินดีคลิกมากกว่า ส่งผลให้ตัวชี้วัด CTR พุ่งสูง
- ลดต้นทุนต่อคลิก (CPC): CTR ที่ดีและความเกี่ยวข้องที่สูงช่วยให้ Google ให้คะแนนคุณภาพ (Quality Score) ดีขึ้น ซึ่งอาจลดค่า CPC ลงได้
- ปรับปรุง ROI: ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและเน้นที่ลูกค้าคุณภาพ สุดท้ายก็เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนให้สูงขึ้น
จากประสบการณ์จริง การใช้คีย์เวิร์ดเชิงลบช่วยให้ธุรกิจหลายแห่งเห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในระยะสั้น โดยเฉพาะเมื่อรวมกับการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
ประเภทของคีย์เวิร์ดและความสัมพันธ์กับ Negative Keywords
ทบทวนประเภทการจับคู่คีย์เวิร์ด (Match Types): Broad, Phrase, Exact
ก่อนจะไปสู่คีย์เวิร์ดเชิงลบ เรามาทำความเข้าใจประเภทการจับคู่คีย์เวิร์ดใน Google Ads ก่อน ซึ่งกำหนดว่าการค้นหาของผู้ใช้จะตรงกับคีย์เวิร์ดของคุณแค่ไหน:
- Broad Match (แบบกว้าง): โฆษณาจะโผล่ขึ้นเมื่อการค้นหามีความหมายใกล้เคียง รวมถึงคำพ้อง คำผิด หรือคำเกี่ยวข้องอื่นๆ ทำให้ครอบคลุมกว้างแต่เสี่ยงต่อการไม่ตรงจุด
- Phrase Match (แบบวลี): โฆษณาแสดงเมื่อการค้นหามีวลีของคุณอยู่ตรงกลาง อาจมีคำอื่นต่อหน้า或หลัง แต่ลำดับต้องตรง
- Exact Match (แบบตรงทั้งหมด): โฆษณาแสดงเฉพาะเมื่อการค้นหาตรงกับคีย์เวิร์ดแบบสมบูรณ์ หรือใกล้เคียงมากที่สุด ช่วยควบคุมได้ละเอียด
การเลือกประเภทเหล่านี้ช่วยให้คุณปรับสมดุลระหว่างการเข้าถึงและความแม่นยำ โดยเฉพาะในตลาดไทยที่ผู้ใช้ค้นหาหลากหลาย
ประเภทการจับคู่ของ Negative Keywords: Broad, Phrase, Exact Negative
คีย์เวิร์ดเชิงลบก็มีประเภทการจับคู่คล้ายกัน เพื่อให้คุณบล็อกการค้นหาได้ละเอียดตามต้องการ:
- Broad Match Negative (แบบกว้างเชิงลบ): บล็อกโฆษณาเมื่อการค้นหามีคำทั้งหมดจากคีย์เวิร์ดเชิงลบ แม้จะสลับคำหรือมีคำอื่นผสม เช่น ถ้าใส่รองเท้าวิ่งแบบกว้างเชิงลบ โฆษณาจะไม่แสดงทั้งวิ่งรองเท้าหรือรองเท้าสำหรับวิ่ง
- Phrase Match Negative (แบบวลีเชิงลบ): บล็อกเมื่อการค้นหามีวลีเชิงลบตรงตามลำดับ เช่น ถ้าใส่กาแฟฟรีแบบวลีเชิงลบ จะบล็อกวิธีรับกาแฟฟรี แต่ยังแสดงกาแฟรสชาติฟรีได้
- Exact Match Negative (แบบตรงทั้งหมดเชิงลบ): บล็อกเฉพาะเมื่อการค้นหาตรงเป๊ะ เช่น ถ้าใส่ [ราคาถูก] แบบตรงทั้งหมด จะบล็อกแค่ราคาถูก แต่ยังแสดงสินค้าถูกหรือถูกมากได้
การเลือกประเภทที่เหมาะสมสำคัญมาก เพื่อไม่ให้บล็อกการค้นหาที่มีประโยชน์โดยไม่ได้ตั้งใจ โดยเฉพาะกับภาษาไทยที่บริบทอาจซับซ้อน
กลยุทธ์ค้นหาและจัดการคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ
แหล่งที่มาของการค้นหา Negative Keywords ที่สำคัญ
การหาคีย์เวิร์ดเชิงลบที่ตรงจุดคือกุญแจสู่การยกระดับแคมเปญ Google Ads มีแหล่งข้อมูลหลายแห่งที่ช่วยให้คุณค้นพบสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
- รายงานคำค้นหา (Search Terms Report) ใน Google Ads: นี่คือเครื่องมือหลักที่แสดงคำค้นจริงที่ทำให้โฆษณาแสดง คุณสามารถสแกนรายงานนี้เพื่อหาคำไม่เกี่ยวข้องและเพิ่มเป็นคีย์เวิร์ดเชิงลบได้ทันที โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจไทยที่การค้นหามักผสมภาษาไทย-อังกฤษ
- การวิเคราะห์คู่แข่ง: ลองดูว่าคู่แข่งกำหนดเป้าคีย์เวิร์ดอะไรบ้าง และหาคำที่อาจทำให้ลูกค้าสับสนระหว่างคุณกับพวกเขา เพื่อป้องกันการแข่งขันที่ไม่จำเป็น
- การวิจัยตลาดและสามัญสำนึก: ลองนึกถึงคำกว้างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมแต่ไม่ตรงกับสิ่งที่คุณขาย เช่น ถ้าขายรถมือสอง อาจบล็อกรถใหม่หรือเช่ารถ เพื่อโฟกัสที่ลูกค้าจริง
- Google Search Console: แม้จะเน้น SEO แต่ก็ให้ข้อมูลคำค้นที่นำคนมาที่เว็บคุณ ซึ่งช่วยระบุคำไม่ตรงจุดได้ดี
ด้วยแหล่งเหล่านี้ คุณสามารถสร้างฐานข้อมูลคีย์เวิร์ดเชิงลบที่แข็งแกร่ง โดยเริ่มจากข้อมูลภายในก่อนขยายสู่ภายนอก
เทคนิคขั้นสูงในการระบุ “คีย์เวิร์ดที่ไม่สามารถจัดหมวดหมู่ได้” เชิงรุก
นอกจากรายงานพื้นฐาน การหาคีย์เวิร์ดไม่เกี่ยวข้องแบบเชิงรุกยังช่วยให้คุณก้าวนำหน้า:
- สร้างรายการ Negative Keyword List หลัก: รวบรวมคำทั่วไปที่ใช้ได้ทุกแคมเปญ เช่น ฟรี มือสอง งาน วิธี ตัวอย่าง ถ้าคุณไม่ขายสิ่งเหล่านั้น โดยเฉพาะในไทย คำว่าฟรีมักดึงคลิกไร้ค่าเข้ามาเยอะ
- ใช้ศัพท์เฉพาะอุตสาหกรรมและคำสแลง: บางอุตสาหกรรมมีคำสแลงที่คนใช้ค้นแต่ไม่ตรงกับคุณ เช่น คลินิกทันตกรรมอาจบล็อกหมอฟันเถื่อน เพื่อหลีกเลี่ยงภาพลักษณ์ที่ไม่ดี
- ตรวจสอบฟอรัมออนไลน์และโซเชียลมีเดีย: สังเกตการสนทนาในฟอรัมหรือกลุ่มเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้อง เพื่อค้นหาวลีที่คนใช้จริง ซึ่งอาจกลายเป็นคีย์เวิร์ดเชิงลบที่ทรงพลัง
- วิเคราะห์ข้อมูลจากฝ่ายบริการลูกค้า: คำถามหรือข้อร้องเรียนบ่อยๆ บอกได้ว่าคำค้นไหนสร้างความคาดหวังผิดพลาด ซึ่งนำมาใช้เป็นคีย์เวิร์ดเชิงลบได้
การอัปเดตรายการเหล่านี้สม่ำเสมอช่วยให้แคมเปญมีประสิทธิภาพสูงสุด ตามข้อมูลจากWordStream การใช้คีย์เวิร์ดเชิงลบดีๆ ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ 10-20% ซึ่งเป็นตัวเลขที่พิสูจน์แล้วในหลายตลาดรวมถึงไทย
วิธีเพิ่ม Negative Keywords ใน Google Ads (พร้อมภาพประกอบ)
การเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบใน Google Ads ไม่ยุ่งยาก แต่ต้องระวังเพื่อไม่ให้พลาด นี่คือขั้นตอนละเอียดที่คุณทำตามได้:
- เข้าสู่ระบบบัญชี Google Ads: เปิดเว็บ ads.google.com แล้วล็อกอินด้วยบัญชีของคุณ
- ไปที่ส่วนคีย์เวิร์ด: ในเมนูซ้าย คลิกที่คีย์เวิร์ด แล้วเลือกคีย์เวิร์ดเชิงลบ
- เลือกระดับที่จะเพิ่ม:
- ระดับบัญชี: สำหรับคีย์เวิร์ดเชิงลบที่ใช้ได้ทุกแคมเปญ ไปที่รายการคีย์เวิร์ดเชิงลบแล้วสร้างใหม่
- ระดับแคมเปญ: สำหรับเฉพาะแคมเปญนั้น เลือกแคมเปญจากเมนูซ้าย แล้วคลิกคีย์เวิร์ดเชิงลบ
- ระดับกลุ่มโฆษณา: สำหรับเฉพาะกลุ่ม เลือกแคมเปญและกลุ่ม แล้วคลิกคีย์เวิร์ดเชิงลบ
- เพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบ:
- คลิกปุ่ม + เพื่อเพิ่มใหม่
- พิมพ์คำหรือวลีที่จะบล็อก พร้อมเลือกประเภทจับคู่ เช่น ใช้เครื่องหมายคำพูดสำหรับวลีเชิงลบ หรือวงเล็บสำหรับตรงทั้งหมดเชิงลบ
- ถ้าเป็นระดับบัญชี สามารถสร้างรายการแล้วนำไปใช้หลายแคมเปญได้
- บันทึก: กดบันทึกเพื่อยืนยันทุกอย่าง
(ภาพประกอบ: หน้าจอ Google Ads แสดงวิธีการนำทางไปยังส่วน Negative Keywords)
(ภาพประกอบ: หน้าจอ Google Ads แสดงช่องสำหรับป้อน Negative Keywords และเลือกประเภทการจับคู่)
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการจัดการ Negative Keywords และวิธีหลีกเลี่ยง
แม้คีย์เวิร์ดเชิงลบจะมีประโยชน์ แต่ถ้าจัดการผิดพลาด อาจกระทบแคมเปญได้ นี่คือปัญหาที่พบบ่อยพร้อมวิธีแก้:
- บล็อกมากเกินไป: ใส่คีย์เวิร์ดเชิงลบเยอะหรือใช้แบบกว้างโดยไม่คิด อาจทำให้พลาดลูกค้าดีๆ วิธีหลีกเลี่ยง: ตรวจรายงานคำค้นละเอียด และดูความถี่ก่อนเพิ่ม
- เลือกประเภทจับคู้ง่าย: ใช้ตรงทั้งหมดแทนวลีหรือกลับกัน อาจยังมีโฆษณาแสดงต่อคำไม่ดีหรือบล็อกคำดีโดยไม่ตั้งใจ วิธีหลีกเลี่ยง: ศึกษาความต่างของแต่ละแบบ แล้วเลือกตามบริบท
- ไม่อัปเดต: ตลาดเปลี่ยนแปลงเสมอ ถ้าไม่เช็ครายการ อาจพลาดคำใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้อง วิธีหลีกเลี่ยง: ตั้งเวลาตรวจรายงานเดือนละครั้ง หรือบ่อยกว่านั้นสำหรับแคมเปญใหญ่
- ไม่คำนึงบริบทภาษาไทย: ภาษาไทยมีหลายความหมายหรือสแลงที่สับสนได้ วิธีหลีกเลี่ยง: ใช้ความรู้ภาษาและวัฒนธรรมในการวิเคราะห์ คิดถึงมุมมองผู้ใช้
ด้วยการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ คุณจะรักษาความสมดุลของแคมเปญ Google Ads และเพิ่ม ROI ได้ยั่งยืน โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมดิจิทัลไทยที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย
สรุป: เพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญด้วยการจัดการคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างชาญฉลาด
การจัดการคีย์เวิร์ดไม่เกี่ยวข้องด้วยคีย์เวิร์ดเชิงลบอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่แค่การตัดค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนที่ช่วยยกระดับแคมเปญ Google Ads และกลยุทธ์ SEM โดยรวม การรู้ว่าคำค้นไหนไม่ใช่เป้าหมายของคุณ ช่วยให้โฆษณาไปถึงคนที่มีโอกาสซื้อสูง ลดการใช้เงินฟุ่มเฟือย และเพิ่มผลตอบแทนให้ธุรกิจ การปรับปรุงต่อเนื่อง ตรวจสอบรายงานคำค้น และอัปเดตรายการคีย์เวิร์ดเชิงลบ จะเป็นปัจจัยหลักสู่ความสำเร็จระยะยาวในโลกการตลาดดิจิทัล โดยเฉพาะสำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องแข่งขันในตลาดที่คึกคัก
Negative Keywords ควรใช้กับแคมเปญ Google Ads ทุกประเภทหรือไม่ และมีข้อยกเว้นไหม?
โดยปกติแล้ว คีย์เวิร์ดเชิงลบมีประโยชน์สูงสำหรับแคมเปญค้นหา (Search Campaigns) ที่พึ่งพาคำค้นของผู้ใช้โดยตรง แต่สำหรับแคมเปญอื่นๆ เช่น Discovery หรือ Performance Max ที่ใช้ AI ช่วยกำหนดเป้า ตัวเลือกคีย์เวิร์ดเชิงลบอาจจำกัดกว่า อย่างไรก็ตาม หลักการพื้นฐานคือควรใช้เสมอเพื่อเพิ่มความแม่นยำและประหยัดงบ โดยปรับตามประเภทแคมเปญ
ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าคีย์เวิร์ดใดที่ควรเป็น Negative Keywords สำหรับธุรกิจของฉันในประเทศไทย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก?
สำหรับธุรกิจขนาดเล็กในไทย เริ่มจากตรวจสอบรายงานคำค้นหา (Search Terms Report) ใน Google Ads เป็นประจำ มองหาคำที่คนค้นแล้วเห็นโฆษณาแต่ไม่ตรงกับสินค้าหรือบริการของคุณ นอกจากนี้ ลองพิจารณาคำอย่างฟรี มือสอง ราคาถูกมาก หรือคำที่เกี่ยวกับคู่แข่งโดยตรง ถ้าคุณไม่ขายสิ่งเหล่านั้น เพื่อป้องกันการคลิกที่ไร้ผล
การใช้ Negative Keywords มากเกินไปมีข้อเสียหรือไม่ และจะส่งผลต่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างไร?
ใช่ มีข้อเสียชัดเจน ถ้าใช้คีย์เวิร์ดเชิงลบเยอะเกินหรือแบบกว้างโดยไม่ระวัง อาจบล็อกการค้นหาที่มีประโยชน์และเกี่ยวข้องกับลูกค้าที่ดี ส่งผลให้โอกาสเข้าถึงคนที่มีศักยภาพลดลง และประสิทธิภาพโฆษณาตกต่ำ
ความแตกต่างระหว่าง Negative Keywords แบบ Broad Match, Phrase Match และ Exact Match คืออะไร และควรเลือกใช้แบบไหนในสถานการณ์ใด?
- Broad Match Negative: บล็อกเมื่อการค้นหามีทุกคำจากคีย์เวิร์ดเชิงลบ แม้สลับลำดับหรือมีคำอื่น เหมาะสำหรับบล็อกหัวข้อกว้างๆ ที่ไม่ต้องการ
- Phrase Match Negative: บล็อกเมื่อมีวลีเชิงลบตรงลำดับ เหมาะสำหรับยกเว้นวลีเฉพาะที่ชัดเจน
- Exact Match Negative: บล็อกเฉพาะตรงเป๊ะ เหมาะสำหรับยกเว้นคำที่ต้องการความแม่นยำสูง
เลือกตามระดับความละเอียดที่ต้องการ ถ้าไม่แน่ใจ เริ่มด้วย Phrase Match Negative แล้วปรับจากข้อมูลจริง
ควรตรวจสอบและอัปเดตรายการ Negative Keywords บ่อยแค่ไหน เพื่อให้แคมเปญ Google Ads มีประสิทธิภาพสูงสุด?
ควรตรวจสอบและอัปเดตอย่างต่อเนื่อง แนะนำเช็ครายงานคำค้นหาสัปดาห์ละครั้งสำหรับแคมเปญใหม่หรืองบสูง และเดือนละครั้งสำหรับแคมเปญมั่นคง การทำแบบนี้ช่วยจับคำค้นใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องได้ทันท่วงที
มีเครื่องมือช่วยค้นหา Negative Keywords นอกเหนือจาก Google Ads Search Terms Report ไหม ที่เหมาะกับตลาดในประเทศไทย?
นอกจาก Search Terms Report คุณใช้ Google Keyword Planner เพื่อหาคำเกี่ยวข้องแต่ไร้ประโยชน์ได้ หรือวิเคราะห์จากฟอรัม โซเชียลมีเดีย และการพูดคุยกับลูกค้า ซึ่งให้ข้อมูลคำสแลงหรือศัพท์ไทยที่เป็นประโยชน์สำหรับคีย์เวิร์ดเชิงลบ
การใช้ Negative Keywords จะช่วยลดต้นทุนโฆษณาและเพิ่ม ROI ให้กับธุรกิจในไทยได้อย่างไร?
คีย์เวิร์ดเชิงลบช่วยลดต้นทุนโดยหยุดโฆษณาจากการค้นหาไม่ตรง ทำให้ไม่เสียเงินกับคลิกไร้ค่า เมื่อโฟกัสที่คลิกจากลูกค้าจริง คุณภาพ трафик สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราการแปลง (Conversion Rate) ดีและ ROI พุ่งในที่สุด สำหรับธุรกิจไทยที่งบจำกัด นี่คือวิธีประหยัดที่มีประสิทธิภาพ
หากฉันต้องการเพิ่ม Negative Keywords เป็นจำนวนมากใน Google Ads มีวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพหรือไม่?
มีวิธีเร่งด่วนหลายแบบ:
- สร้าง Negative Keyword Lists: สร้างรายการแล้วนำไปใช้หลายแคมเปญพร้อมกัน
- ใช้ Google Ads Editor: โปรแกรมเดสก์ท็อปสำหรับจัดการออฟไลน์และอัปโหลดทีเดียว
- อัปโหลดเป็นกลุ่ม: เตรียมในสเปรดชีตแล้วอัปโหลดตรงเข้า Google Ads
คีย์เวิร์ดภาษาไทยที่มีความหมายคลุมเครือหรือเป็นคำสแลง ควรจัดการอย่างไรในรายการ Negative Keywords?
สำหรับคำไทยคลุมเครือหรือสแลง ต้องระวังมาก เริ่มด้วย Phrase Match Negative เพื่อบล็อกเฉพาะวลีนั้น ถ้ามั่นใจว่าไม่เกี่ยวข้องและไม่เสี่ยงพลาดลูกค้า อาจใช้ Broad Match Negative แต่เช็ครายงานคำค้นใกล้ชิดเพื่อปรับแก้
การใช้ Negative Keywords กับแคมเปญ Discovery หรือ Performance Max มีความแตกต่างจากการใช้กับ Search Campaigns อย่างไร?
ใน Search Campaigns คุณเพิ่มคีย์เวิร์ดเชิงลบตรงๆ เพื่อบล็อกคำค้นไม่ดี แต่ Discovery และ Performance Max ที่ใช้ AI จะจำกัดกว่า โดยเฉพาะ Performance Max เพิ่มได้แค่ระดับบัญชีสำหรับบล็อกคำไม่เหมาะสม เช่น คำหยาบ แต่ไม่ละเอียดเท่า Search สำหรับการกำหนดเป้าพาณิชย์