แนวรับ แนวต้าน คืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐานใน 5 นาที

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นเส้นทางการเทรดหรือผ่านประสบการณ์มาหลายรอบ แนวรับและแนวต้านถือเป็นแกนหลักของวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ไม่มีนักลงทุนคนไหนจะมองข้ามได้ มันไม่ใช่แค่เส้นในกราฟ แต่คือภาพสะท้อนของพฤติกรรมราคาที่ขับเคลื่อนด้วยจิตวิทยาตลาดและกลไกอุปสงค์-อุปทาน หากมองให้ลึกกว่าพื้นผิว เส้นเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวของ “จุดตัดสินใจ” ที่นักลงทุนส่วนใหญ่เลือกจะซื้อหรือขาย
ลองนึกภาพว่าราคาเคลื่อนที่อยู่ภายในห้อง: แนวรับ ก็เหมือนกับพื้นห้องที่คอยหยุดการร่วงลงของราคา ในขณะที่ แนวต้าน คือเพดานที่จำกัดการพุ่งขึ้น หากไม่มีแรงซื้อหรือแรงขายใหม่มาเข้าแทรก ราคาจะยังคงถูก “กัก” อยู่ระหว่างสองระดับนี้ไปเรื่อย ๆ แนวคิดนี้อาจดูเรียบง่าย แต่เมื่อเข้าใจลึกถึงกลไกเบื้องหลัง จะช่วยให้คุณอ่านกราฟได้อย่างมีเหตุผล และตัดสินใจการเทรดด้วยความมั่นใจมากขึ้น
แนวรับ คืออะไร? แรงซื้อที่รออยู่เบื้องหลัง
แนวรับ (Support) คือช่วงราคาที่มีแรงซื้อสะสมตัวอยู่อย่างแข็งแกร่ง เมื่อราคาลดตัวลงมาถึงบริเวณนี้ มักจะเกิดการชะลอตัว หรือเด้งกลับขึ้นทันที สาเหตุหลักก็เพราะนักลงทุนจำนวนมากมองว่าระดับราคาดังกล่าว “ถูกเกินไป” หรือเข้าสู่โซนที่น่าซื้อสะสม ทำให้เกิดคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยทั่วไป แนวรับมักก่อตัวขึ้นบริเวณ “จุดต่ำสุดเดิม” ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพราะนักเทรดจะจดจำระดับราคาเหล่านั้นได้ และเมื่อราคาค่อย ๆ ย่อตัวลงมาใกล้บริเวณเดิม อารมณ์ความกลัวการพลาดโอกาส (FOMO) จะเริ่มทำงาน ส่งผลให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือ ยิ่งราคาทดสอบแนวรับนี้หลายครั้งโดยไม่สามารถหลุดลงต่อไปได้ ความน่าเชื่อถือของแนวรับก็ยิ่งสูงขึ้น
แนวต้าน คืออะไร? จุดที่แรงขายเริ่มต้นขึ้น
ในทางตรงกันข้าม แนวต้าน (Resistance) คือระดับราคาที่มีแรงขายสะสมอยู่มากกว่าแรงซื้อ เมื่อราคาพยายามพุ่งขึ้นมาถึงบริเวณนี้ มักจะเริ่มชะลอตัว หรือมีการปรับตัวถอยลง สาเหตุก็เพราะนักลงทุนที่ถือครองสินทรัพย์มาตั้งแต่ระดับราคาต่ำเริ่มมองว่า “ถึงจุดขายทำกำไรแล้ว”
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักลงทุนที่พลาดการซื้อในระดับต่ำ แต่ยังเชื่อว่าราคาจะไม่ไปต่อ จึงรอวางคำสั่งขายไว้บริเวณนี้ ซึ่งเรียกว่า “short sellers” หรือ “นักขายในจังหวะต้าน” สิ่งนี้ทำให้เกิดแรงกดดันต่อราคาไม่ให้ทะลุผ่านขึ้นไปได้ง่าย ๆ โดยแนวต้านมักเกิดจาก “จุดสูงสุดเดิม” ที่เคยมีการย่อตัวลงในอดีต ยิ่งมีการทดสอบหลายครั้งโดยไม่สามารถปิดเหนือเส้นได้ แสดงว่าแรงขายยังคงเหนือกว่า
วิธีหาและตีเส้นแนวรับแนวต้านอย่างแม่นยำ
การระบุแนวรับแนวต้านไม่ใช่การคาดเดา แต่เป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนและพัฒนาไปเรื่อย ๆ โดยวิธีพื้นฐานที่สุดก็คือการสังเกต “โซนราคา” ที่เคยเกิดการกลับตัวอย่างชัดเจนในอดีต ไม่ใช่แค่จุดเดียว แต่ต้องเป็นอย่างน้อย 2 จุดขึ้นไปที่อยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกัน เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นพื้นที่ที่มีความหมาย
ใช้จุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีตเป็นพื้นฐาน
ขั้นตอนการตีเส้นเริ่มจากการวิเคราะห์กราฟใน Timeframe ที่เหมาะสม (เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์) แล้วมองหา:
- แนวรับ: ค้นหาจุดต่ำสุด (Lows) อย่างน้อย 2 จุดที่ราคายกตัวขึ้นจากบริเวณนั้น จากนั้นลากเส้นแนวนอนเชื่อมจุดทั้งสอง ยิ่งเส้นนี้เคยถูกทดสอบบ่อยครั้ง ยิ่งบ่งบอกว่าเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง
- แนวต้าน: ค้นหาจุดสูงสุด (Highs) อย่างน้อย 2 จุดที่ราคาไม่สามารถปิดเหนือได้ แล้วลากเส้นแนวนอนเชื่อมเข้าด้วยกัน การที่ราคาพยายามจะขึ้นแต่ถูกผลักกลับหลายครั้ง แสดงว่ามีแรงขายสะสมอยู่ในบริเวณนั้น
อย่าลืมว่า แนวรับและแนวต้านไม่ใช่เส้นที่ตายตัว แต่เป็น “โซน” ที่มีความยืดหยุ่น ราคาอาจมีการ “วิ่งทะลุ” ไปเล็กน้อยเพื่อ “ล้างคำสั่งซื้อหรือขาย” ที่วางไว้ก่อนจะกลับตัว ดังนั้น อย่าตีความว่าการหลุดเล็กน้อย = การพังทลายทันที
แนวคิดการสลับบทบาท: จุดเปลี่ยนสำคัญของแนวรับ-ต้าน
หนึ่งในแนวคิดที่ทรงพลังที่สุดในเทคนิคการเทรดก็คือ “การสลับหน้าที่” (Role Reversal) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อราคาสามารถทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญได้อย่างชัดเจน
- แนวต้านกลายเป็นแนวรับ: เมื่อราคาสามารถปิดเหนือแนวต้านเดิมได้โดยมีปริมาณการซื้อขายสูง แนวต้านเดิมจะกลับมาทำหน้าที่เป็นแนวรับใหม่ เพราะนักลงทุนที่พลาดโอกาสจะรอเข้าซื้อเมื่อราคา “ย่อตัวกลับมา” ที่บริเวณนี้
- แนวรับกลายเป็นแนวต้าน: ในทางกลับกัน หากราคาหลุดต่ำกว่าแนวรับเดิม แนวรับนั้นจะกลายเป็นแนวต้านใหม่ เพราะนักลงทุนที่เคยซื้อไว้จะรอ “ขายคืน” เมื่อราคามีโอกาสดีดตัวกลับมา
การสังเกตพฤติกรรมนี้อย่างใกล้ชิด ช่วยให้คุณระบุจุดกลับตัวใหม่ ๆ และเข้าใจภาพรวมของเทรนด์ได้ดีขึ้น

ใช้เครื่องมือช่วยวิเคราะห์แนวรับแนวต้านอัตโนมัติ
แม้การตีเส้นด้วยตนเองจะช่วยพัฒนาความเข้าใจพฤติกรรมราคา แต่ในยุคปัจจุบัน นักเทรดส่วนใหญ่เลือกใช้เครื่องมือ (Indicators) ช่วยเพื่อเพิ่มความแม่นยำและประหยัดเวลา เครื่องมือเหล่านี้ทำงานโดยใช้สูตรคณิตศาสตร์วิเคราะห์ข้อมูลราคาในอดีต เพื่อแสดงระดับแนวรับแนวต้านที่น่าสนใจ
Fibonacci Retracement: ค้นหาระดับย่อตัวในเทรนด์
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการหา “จุดย่อตัว” ระหว่างการเคลื่อนที่ของเทรนด์ โดยใช้จุดสูงสุด (Swing High) และจุดต่ำสุด (Swing Low) เป็นตัวอ้างอิง จากนั้นจะแสดงระดับเปอร์เซ็นต์สำคัญ เช่น 38.2%, 50% และ 61.8% ซึ่งมักกลายเป็นแนวรับหรือแนวต้านชั่วคราวในช่วงย่อตัวของราคา
นักเทรดใช้ Fibonacci เพื่อหาจุดเข้าซื้อในขาขึ้น หรือจุดเข้าขายในขาลง โดยรอให้ราคา “ย่อตัว” ถึงระดับที่น่าสนใจก่อนตัดสินใจ
Pivot Points: แนวรับแนวต้านอัตโนมัติตามวัน
Pivot Points เป็นเครื่องมือที่คำนวณระดับแนวรับ (S1, S2, S3) และแนวต้าน (R1, R2, R3) ตามราคาเปิด ปิด สูง ต่ำ ของช่วงก่อนหน้า (เช่น วันก่อนหน้า) เครื่องมือนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่ม Day Trader โดยเฉพาะในตลาด Forex เพราะให้ระดับราคาที่ชัดเจนสำหรับการวางแผนเข้า-ออก
นักเทรดที่ใช้ Pivot Points มักมองหาการกลับตัวที่ R1 หรือ S1 หรือจังหวะ Breakout ที่ทะลุผ่าน R2 หรือ S2 เพื่อเข้าร่วมกับเทรนด์ที่เพิ่งเริ่มต้น
Moving Averages: แนวรับแนวต้านที่เคลื่อนที่ตามราคา
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เช่น EMA 50 หรือ SMA 200 ไม่ได้อยู่นิ่งเหมือนเส้นแนวนอน แต่ “เคลื่อนที่” ไปตามราคา ทำให้มันทำหน้าที่เป็น แนวรับแนวต้านเชิงพลวัต (Dynamic Support/Resistance)
ในช่วงเทรนด์ขาขึ้น เส้น MA มักจะทำหน้าที่เป็นแนวรับที่คอยพยุงราคา ขณะที่ในช่วงขาลง เส้นเดียวกันจะกลายเป็นแนวต้านที่กดดันราคาไม่ให้ฟื้นตัว นักเทรดมืออาชีพมักใช้การตัดกันของ MA สองเส้น ร่วมกับแนวรับแนวต้านแนวนอน เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ
กลยุทธ์การเทรดด้วยแนวรับแนวต้าน
เมื่อคุณสามารถระบุแนวรับแนวต้านได้อย่างแม่นยำ ต่อไปก็คือการสร้างกลยุทธ์ที่ทำกำไรได้จริง ซึ่งมี 2 แนวทางหลักที่นักเทรดใช้กันทั่วโลก
กลยุทธ์เทรดในกรอบ (Range Trading)
เหมาะกับตลาดที่เคลื่อนไหวในลักษณะ Sideways หรือ “ขึ้นมาเท่าไรก็ลงกลับไปเท่านั้น” โดยราคาจะเคลื่อนที่อยู่ระหว่างแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจน
- เข้าซื้อ (Long): เมื่อราคาลงมาทดสอบแนวรับ และมีสัญญาณกลับตัว เช่น แท่งเทียนรูปแบบ Bullish Engulfing หรือ Hammer
- เข้าขาย (Short): เมื่อราคาขึ้นไปแตะแนวต้าน และมีสัญญาณกลับตัวขาลง เช่น Bearish Engulfing หรือ Shooting Star
กลยุทธ์นี้เน้น “ซื้อถูก ขายแพง” ภายในกรอบ โดยต้องหลีกเลี่ยงในช่วงที่ตลาดเริ่มมีสัญญาณ Breakout
กลยุทธ์เทรดเมื่อราคาทะลุ (Breakout Trading)
เหมาะกับการเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่ที่มีแรงขับเคลื่อนชัดเจน โดยอาศัยจังหวะที่ราคา “พัง” แนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง
- เข้าซื้อ: เมื่อราคาปิดเหนือแนวต้านสำคัญ โดยมี Volume สูงอย่างชัดเจน แสดงถึงแรงซื้อที่เข้ามาอย่างจริงจัง
- เข้าขาย: เมื่อราคาหลุดต่ำกว่าแนวรับหลัก และมี Volume เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้ว่าแรงขายเริ่มครอบงำ
นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์นี้มักรอ “การย่อตัวกลับมาทดสอบ” (Retest) เพื่อเพิ่มความมั่นใจก่อนเข้าตำแหน่ง เพราะมันลดความเสี่ยงจาก “การทะลุหลอก” (False Breakout) ได้ดี
การตั้งจุดตัดขาดทุนและจุดทำกำไร
ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์ใด การบริหารความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญที่สุด แนวรับแนวต้านเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการกำหนดตำแหน่ง Stop Loss และ Take Profit
- Stop Loss: สำหรับการซื้อที่แนวรับ ควรวาง Stop Loss ต่ำกว่าแนวรับเล็กน้อย (ประมาณ 1-2%) เพื่อหลีกเลี่ยงการถูก Stop จากราคาที่ “วิ่งเกิน” ชั่วคราว ในทางกลับกัน สำหรับการขายที่แนวต้าน ควรตั้ง Stop Loss เหนือแนวต้านเล็กน้อย
- Take Profit: ควรตั้งเป้าหมายที่แนวต้านถัดไป หรือก่อนถึงเล็กน้อยเพื่อล็อกกำไร หรือใช้ Fibonacci Extension เพื่อหาเป้าหมายระยะกลาง-ยาว
ปรับใช้แนวรับแนวต้านในสินทรัพย์ต่าง ๆ
แม้แนวรับแนวต้านจะใช้ได้กับทุกตลาด แต่แต่ละสินทรัพย์ก็มีลักษณะเฉพาะที่ควรพิจารณาเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
ตลาด Forex
ในตลาด Forex ที่มีสภาพคล่องสูงมาก นอกจากแนวรับแนวต้านจาก High/Low แล้ว นักเทรดควรให้ความสำคัญกับ ระดับจิตวิทยา (Psychological Levels) เช่น 1.20000 ใน EUR/USD หรือ 150.00 ใน USD/JPY เนื่องจากนักลงทุนชอบใช้ตัวเลขกลม ๆ เหล่านี้เป็นจุดตัดสินใจ รวมถึงการใช้ Pivot Points รายวัน ที่นิยมในกลุ่มเทรดเดอร์ระยะสั้น
ตลาดทองคำ (Gold)
ทองคำมักเคารพแนวรับแนวต้านที่เกิดจากจุดสูงสุดและต่ำสุดในอดีต โดยเฉพาะใน Timeframe ใหญ่ เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์ นักเทรดทองคำมักใช้การตีเส้นจาก Historical Highs/Lows เป็นพื้นฐานหลัก และเสริมด้วย Fibonacci เพื่อหาจุดย่อตัว
ตลาดหุ้น
ในตลาดหุ้น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ปริมาณการซื้อขาย (Volume) การทะลุแนวต้านที่มาพร้อมกับ Volume สูง แสดงถึงความจริงจังของแรงซื้อ ในขณะที่การทะลุที่ Volume ต่ำ อาจเป็นเพียง การทะลุหลอก (False Breakout) ที่เกิดขึ้นเพื่อ “ล้างคำสั่ง” นักลงทุนรายย่อย

เปรียบเทียบวิธีการวิเคราะห์แนวรับแนวต้าน
วิธีการ | ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|---|
การตีเส้นด้วยตนเอง | ปรับตามสไตล์การเทรด, ช่วยเข้าใจพฤติกรรมราคา, ยืดหยุ่นสูง | ขึ้นอยู่กับมุมมองส่วนตัว, ใช้เวลานาน, มือใหม่อาจตีผิด |
การใช้ Indicator | เป็นกลาง, รวดเร็ว, ลดอคติ, ให้ระดับชัดเจน | ไม่ยืดหยุ่นในบางตลาด, อาจเกิดสัญญาณหลอก, เสี่ยงพึ่งพาเกินไป |
นักเทรดที่ประสบความสำเร็จมักใช้ทั้งสองวิธีร่วมกัน เช่น ตีเส้นเองเพื่อเข้าใจโครงสร้างราคา แล้วใช้ Indicator เช่น Pivot Points หรือ Fibonacci เป็น “จุดยืนยัน” เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
สำหรับผู้ใช้แพลตฟอร์ม Moneta Markets ซึ่งรองรับการใช้งาน TradingView ได้อย่างเต็มรูปแบบ คุณสามารถใช้เครื่องมือทั้งหมดนี้ได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการตีเส้นแนวนอน การเพิ่ม Fibonacci หรือการตั้งค่า Pivot Points ได้อย่างสะดวก พร้อมข้อมูลเรียลไทม์ในทุกตลาดที่คุณสนใจ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
แนวรับ แนวต้าน ดูยังไงในกราฟเทรด?
ให้มองหาจุดที่ราคาเคยหยุดและกลับตัวในอดีต ถ้าราคายกตัวขึ้นจากจุดใดหลายครั้ง จุดนั้นคือแนวรับ ถ้าราคาย่อตัวลงจากจุดใดหลายครั้ง จุดนั้นคือแนวต้าน จากนั้นลากเส้นแนวนอนเชื่อมจุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุดที่ใกล้เคียงกันเพื่อกำหนดเป็นโซนแนวรับ-แนวต้าน
เราจะตีเส้นแนวรับแนวต้านใน TradingView ได้อย่างไร?
ใช้เครื่องมือ “Horizontal Line” หรือ “Trend Line” ที่อยู่ในแถบเครื่องมือด้านซ้ายของกราฟใน TradingView
- คลิกที่ไอคอนเส้นแนวนอน
- วางจุดแรกที่ระดับราคาที่ต้องการ
- ลากไปยังอีกจุดหนึ่งเพื่อกำหนดเส้น แล้วปรับสีหรือความหนาได้ตามต้องการ
Indicator ตัวไหนที่แม่นยำที่สุดสำหรับหาแนวรับแนวต้าน?
ไม่มีตัวเดียวที่ดีที่สุด เพราะแต่ละตัวเหมาะกับสถานการณ์ต่างกัน
- Pivot Points: เหมาะกับ Day Trader ในตลาด Forex
- Fibonacci Retracement: ดีที่สุดในตลาดที่มีเทรนด์ชัดเจน
- Moving Averages: ใช้ได้ดีในตลาดที่มีแนวโน้มต่อเนื่อง
นักเทรดมืออาชีพมักใช้ร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณ
แนวรับแนวต้านในตลาด Forex กับ ทองคำ มีความแตกต่างกันอย่างไร?
ตลาด Forex เน้นที่ตัวเลขกลม (Psychological Levels) และ Pivot Points รายวัน ในขณะที่ทองคำเคารพแนวรับแนวต้านจากจุดสูง-ต่ำในอดีต โดยเฉพาะใน Timeframe ใหญ่ เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์
ควรใช้ Timeframe (กรอบเวลา) ไหนในการวิเคราะห์แนวรับแนวต้าน?
ยิ่ง Timeframe ใหญ่ แนวรับแนวต้านยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้น เช่น แนวรับในกราฟรายสัปดาห์มีความสำคัญกว่ากราฟ 15 นาที นักเทรดมืออาชีพมักเริ่มวิเคราะห์จาก Timeframe ใหญ่ก่อน แล้วค่อยย่อลงมาหาจังหวะเข้าเทรดในกรอบเวลาเล็ก
แนวรับ แนวต้าน ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไร และมีความหมายว่าอย่างไร?
แนวรับเรียกว่า Support หมายถึง จุดที่แรงซื้อพยุงราคาไม่ให้ตกลงต่อ ส่วนแนวต้านคือ Resistance หมายถึง จุดที่แรงขายขัดขวางไม่ให้ราคาขึ้นต่อ ทั้งสองคำสะท้อนบทบาทตรงตามชื่อ
จะแยกแยะระหว่างการทะลุจริง (True Breakout) กับการทะลุหลอก (False Breakout) ได้อย่างไร?
ใช้เทคนิคกรองสัญญาณ เช่น
- ดู Volume: การทะลุจริงมักมาพร้อม Volume สูง
- รอแท่งเทียนปิด: รอให้แท่งเทียนปิดเหนือแนวต้านหรือต่ำกว่าแนวรับอย่างชัดเจน
- รอการ Retest: การย่อตัวกลับมาทดสอบแนวที่พึ่งทะลุ แล้วดีดตัวต่อ ถือเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่ง