หุ้นกู้คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับมือใหม่ สร้างรายได้ประจำอย่างมั่นคง

สารบัญ

บทนำ: หุ้นกู้คืออะไร? ทำไมต้องสนใจการลงทุนนี้?

ภาพประกอบนักลงทุนที่กำลังจัดสรรพอร์ตการลงทุนระหว่างหุ้นกู้ หุ้น และพันธบัตร เพื่อให้ได้รับรายได้ที่มั่นคง

ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวน การมองหาทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอและมีความเสี่ยงควบคุมได้ กลายเป็นจุดสนใจของนักลงทุนจำนวนมาก หนึ่งในเครื่องมือที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้ดีคือ “หุ้นกู้” ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับบริษัทต่าง ๆ ในการขยายกิจการหรือปรับโครงสร้างหนี้ แต่ยังเป็นช่องทางสร้างรายได้ประจำให้กับผู้ที่มองหาความมั่นคงในพอร์ตการลงทุน ต่างจากการลงทุนในหุ้นที่อาจให้ผลตอบแทนสูงแต่ผันผวนมาก หรือการฝากเงินที่ปลอดภัยแต่ให้ดอกเบี้ยต่ำ หุ้นกู้จึงอยู่ตรงกลางที่น่าสนใจ บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่พื้นฐาน ประเภท ข้อดี-ข้อเสีย การเปรียบเทียบกับเครื่องมือการลงทุนอื่น ๆ และวิธีเริ่มต้นลงทุนในตลาดไทยอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและเหมาะสมกับเป้าหมายการเงินของตัวเอง

หุ้นกู้คืออะไร? แก่นแท้ของตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัท

ภาพจำลองการลงนามสัญญาการออกหุ้นกู้ระหว่างบริษัทและนักลงทุน แสดงถึงข้อตกลงการให้กู้ยืมเงิน

หุ้นกู้ หรือที่รู้จักในชื่อภาษาอังกฤษว่า Corporate Bond เป็นตราสารหนี้ที่บริษัทเอกชนออกเพื่อระดมทุนจากประชาชนหรือนักลงทุนทั่วไป กล่าวง่าย ๆ ก็คือ บริษัทขอยืมเงินจากคุณ โดยให้สัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยเป็นระยะ ๆ ตามอัตราที่กำหนด และคืนเงินต้นให้ครบเมื่อครบกำหนดอายุของหุ้นกู้ ซึ่งอาจอยู่ที่ 1, 3, 5 ปี หรือมากกว่านั้น นักลงทุนในหุ้นกู้จึงไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทเหมือนผู้ถือหุ้น แต่เป็น “เจ้าหนี้” ของบริษัท

การออกหุ้นกู้จะต้องผ่านการกำกับดูแลอย่างเข้มงวดจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลที่เปิดเผยมีความโปร่งใส ถูกต้อง และเป็นธรรมต่อนักลงทุน ด้วยเหตุนี้ หุ้นกู้จึงถือเป็นการลงทุนที่อยู่บนพื้นฐานของความมั่นคงและผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้ ช่วยให้นักลงทุนสามารถวางแผนทางการเงินระยะกลางถึงยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการรายได้ประจำโดยไม่ต้องพึ่งพาเงินปันผลที่อาจไม่สม่ำเสมอ

เจาะลึกประเภทของหุ้นกู้: เลือกให้เหมาะกับความเสี่ยงที่คุณรับได้

ภาพเปรียบเทียบระดับความเสี่ยงของหุ้นกู้แต่ละประเภท ตั้งแต่หุ้นกู้มีประกัน ไปจนถึงหุ้นกู้ด้อยสิทธิ

หุ้นกู้ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว แต่มีหลากหลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองต่อนักลงทุนที่มีความเสี่ยงและความต้องการผลตอบแทนที่แตกต่างกัน การเข้าใจประเภทต่าง ๆ จะช่วยให้คุณเลือกหุ้นกู้ที่สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนและระดับความทนทานต่อความเสี่ยงของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น

หุ้นกู้มีประกัน vs. หุ้นกู้ไม่มีประกัน

หุ้นกู้มีประกัน คือ หุ้นกู้ที่บริษัทผู้ออกได้นำทรัพย์สิน เช่น อสังหาริมทรัพย์ ที่ดิน หรือเครื่องจักรมาค้ำประกันไว้ หากบริษัทไม่สามารถชำระหนี้ได้ นักลงทุนสามารถบังคับใช้สิทธิเหนือหลักประกันนั้นเพื่อชดเชยความเสียหาย ด้วยเหตุนี้ หุ้นกู้ประเภทนี้จึงมีความเสี่ยงต่ำกว่า แต่ในทางกลับกันก็ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าเช่นกัน

ส่วนหุ้นกู้ไม่มีประกัน หรือที่เรียกว่า Unsecured Bond นั้น ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันใด ๆ การชำระคืนจึงขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือและศักยภาพทางการเงินของบริษัทโดยตรง ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงสูงกว่า จึงมักให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเพื่อดึงดูดผู้ลงทุน

หุ้นกู้ด้อยสิทธิ vs. หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ

หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (Senior Bond) คือหุ้นกู้ที่อยู่ในลำดับแรกของการได้รับชำระหนี้หากบริษัทล้มละลาย ทำให้นักลงทุนที่ถือหุ้นกู้ประเภทนี้มีความปลอดภัยสูงกว่า ด้วยเหตุนี้ ผลตอบแทนจึงมักอยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำ

ในทางตรงกันข้าม หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated Bond) จะได้รับชำระหนี้ในลำดับท้าย ๆ หลังจากเจ้าหนี้ประเภทอื่น ๆ และผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ความเสี่ยงที่สูงกว่าจึงถูกชดเชยด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักว่าในกรณีที่บริษัทล้มละลายจริง โอกาสที่จะได้รับเงินคืนทั้งหมดอาจต่ำมาก

หุ้นกู้แปลงสภาพ vs. หุ้นกู้ไม่แปลงสภาพ

หุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Bond) ให้สิทธิพิเศษแก่ผู้ลงทุนในการแปลงเป็นหุ้นสามัญของบริษัทในอนาคต หากบริษัทมีผลประกอบการดีและราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนอาจได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยปกติจากการขายหุ้นที่ได้มา อย่างไรก็ตาม หากตลาดไม่เป็นไปตามคาด ก็ยังคงได้รับดอกเบี้ยและเงินต้นคืน ทำให้เป็นทางเลือกที่ผสมผสานระหว่างตราสารหนี้และโอกาสจากราคาหุ้น

ส่วนหุ้นกู้ไม่แปลงสภาพ (Non-Convertible Bond) คือหุ้นกู้ที่ไม่มีสิทธิแปลงเป็นหุ้นสามัญ นักลงทุนจะได้รับเพียงดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดและเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด เป็นรูปแบบที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการความแน่นอนและไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับความผันผวนของตลาดหุ้น

ประเภทหุ้นกู้ ลักษณะเด่น ระดับความเสี่ยง (โดยประมาณ) ผลตอบแทน (โดยประมาณ)
หุ้นกู้มีประกัน มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ต่ำ ต่ำกว่า
หุ้นกู้ไม่มีประกัน ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ปานกลางถึงสูง สูงกว่า
หุ้นกู้ด้อยสิทธิ ลำดับการชำระคืนหลังเจ้าหนี้รายอื่น สูง สูงกว่า
หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ลำดับการชำระคืนก่อนเจ้าหนี้ด้อยสิทธิ ต่ำถึงปานกลาง ต่ำกว่า
หุ้นกู้แปลงสภาพ แปลงเป็นหุ้นได้ มีโอกาสกำไรจากราคาหุ้น ปานกลาง (ขึ้นกับราคาหุ้น) ดอกเบี้ยคงที่ + โอกาสกำไรจากหุ้น
หุ้นกู้ไม่แปลงสภาพ ไม่มีสิทธิแปลงเป็นหุ้น ต่ำถึงปานกลาง ดอกเบี้ยคงที่

ข้อดี-ข้อเสียของการลงทุนในหุ้นกู้: โอกาสและสิ่งที่คุณต้องระวัง

การตัดสินใจลงทุนในหุ้นกู้ต้องอาศัยการวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ของผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งแต่ละด้านมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ข้อดี

  • ผลตอบแทนสม่ำเสมอและคาดการณ์ได้: นี่คือจุดเด่นหลักของหุ้นกู้ นักลงทุนจะได้รับดอกเบี้ยเป็นประจำทุก 3 หรือ 6 เดือน ทำให้สามารถวางแผนกระแสเงินสดได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันหรือการออมระยะยาว
  • ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น: ผู้ถือหุ้นกู้มีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับชำระหนี้ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญในกรณีที่บริษัทมีปัญหา ทำให้ความเสี่ยงจากการสูญเสียเงินต้นต่ำกว่าการถือหุ้น
  • ช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ต: การเพิ่มหุ้นกู้ในพอร์ตช่วยลดความผันผวนของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้น ทำให้พอร์ตการลงทุนสมดุลและมีเสถียรภาพมากขึ้น
  • เงินต้นคืนเมื่อครบกำหนด: หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้มีความมั่นคงและไม่ผิดนัด นักลงทุนจะได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน ซึ่งต่างจากการลงทุนในหุ้นที่มูลค่าอาจลดลงได้ตลอดเวลา

ข้อเสีย

  • ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้นในระยะยาว: แม้จะให้รายได้สม่ำเสมอ แต่ผลตอบแทนรวมของหุ้นกู้มักไม่สามารถเทียบเท่ากับหุ้นที่เติบโตดีได้ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว
  • ความเสี่ยงด้านเครดิต: ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดคือบริษัทอาจผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาสภาพคล่องหรือผลประกอบการที่แย่ลง การตรวจสอบเครดิตเรทติ้งจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญ
  • ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย: หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับขึ้น ราคาหุ้นกู้เดิมที่ให้ดอกเบี้ยต่ำอาจลดลง ทำให้ขายก่อนครบกำหนดได้ราคาไม่คุ้ม
  • สภาพคล่องต่ำ: หุ้นกู้บางตัวอาจไม่มีผู้ซื้อในตลาดรอง ทำให้ยากต่อการเปลี่ยนเป็นเงินสดก่อนครบกำหนด
  • ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: หากเงินเฟ้อสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ กำลังซื้อของเงินลงทุนจะลดลงในระยะยาว

หุ้นกู้ vs. หุ้น vs. พันธบัตรรัฐบาล: เลือกอะไรให้พอร์ตคุณ?

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างหุ้นกู้ หุ้น และพันธบัตรรัฐบาลจะช่วยให้คุณจัดสรรสินทรัพย์ในพอร์ตได้อย่างเหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่รับได้

เปรียบเทียบภาพรวม

คุณสมบัติ หุ้นกู้ (Corporate Bond) หุ้น (Stock) พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond)
ผู้ออก บริษัทเอกชน บริษัทเอกชน รัฐบาล หรือ หน่วยงานภาครัฐ
สถานะผู้ลงทุน เจ้าหนี้ (ได้รับดอกเบี้ย) เจ้าของ (มีสิทธิในกำไรและทรัพย์สิน) เจ้าหนี้ (ได้รับดอกเบี้ย)
ผลตอบแทนหลัก ดอกเบี้ยคงที่ กำไรจากส่วนต่างราคา, เงินปันผล ดอกเบี้ยคงที่
ความเสี่ยง ปานกลาง (ขึ้นกับเครดิตบริษัท) สูง (ขึ้นกับผลประกอบการบริษัท) ต่ำมาก (ได้รับการค้ำประกันจากรัฐบาล)
สภาพคล่อง ปานกลาง (บางตัวอาจต่ำ) สูง (สำหรับหุ้นยอดนิยม) สูง
การคุ้มครองเงินต้น ได้รับคืนเมื่อครบกำหนด (หากไม่ผิดนัด) ไม่มี (ขึ้นกับราคาตลาด) ได้รับคืนเมื่อครบกำหนด (ความเสี่ยงต่ำมาก)

จุดเด่นของหุ้นกู้

หุ้นกู้อยู่ในจุดสมดุลระหว่างพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นทั่วไป ทั้งในแง่ของความเสี่ยงและผลตอบแทน โดยมีข้อได้เปรียบดังนี้

  • ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลเพื่อชดเชยความเสี่ยงด้านเครดิตของบริษัท
  • มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นทั่วไป เพราะไม่ต้องพึ่งพาความผันผวนของราคาหุ้น
  • เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนจากเงินออมโดยไม่ยอมรับความเสี่ยงสูงเกินไป

ดังนั้น หุ้นกู้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีในการสร้างพอร์ตที่หลากหลาย โดยเฉพาะในยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำลง

วิธีลงทุนหุ้นกู้สำหรับมือใหม่ในประเทศไทย: เริ่มต้นอย่างไรให้ปลอดภัย?

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่สนใจหุ้นกู้ การเริ่มต้นอย่างมีระบบและระมัดระวังจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว

ช่องทางการลงทุน

  • ธนาคารพาณิชย์: เป็นช่องทางที่เข้าถึงง่ายที่สุด โดยเฉพาะสำหรับหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทขนาดใหญ่หรือธนาคารเอง
  • บริษัทหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน: ให้บริการทั้งการซื้อหุ้นกู้ออกใหม่และการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ ซึ่งช่วยกระจายความเสี่ยง
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): หุ้นกู้บางตัวสามารถซื้อขายได้ผ่านตลาดรอง แต่ส่วนใหญ่ยังคงซื้อผ่านช่องทางธนาคารและบล. ในรูปแบบ OTC

ขั้นตอนการซื้อ

  1. เปิดบัญชี: ลงทะเบียนกับธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้จัดจำหน่าย
  2. ศึกษาข้อมูล: ตรวจสอบเครดิตเรทติ้ง งบการเงิน วัตถุประสงค์การออกหุ้นกู้ และอัตราดอกเบี้ยให้ละเอียด
  3. จองหรือซื้อ: สำหรับหุ้นกู้ออกใหม่ให้จองตามรอบ สำหรับหุ้นกู้เดิมให้ซื้อผ่านตลาดรอง
  4. ติดตามการลงทุน: ติดตามข่าวสารของบริษัทและอัตราดอกเบี้ยในตลาดอย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนลงทุน

  • เครดิตเรทติ้ง: ควรเลือกหุ้นกู้ที่มีเรทติ้งอย่างน้อย BBB- ขึ้นไป จากบริษัทจัดอันดับเช่น TRIS Rating TRIS Rating
  • ผลตอบแทนต่อความเสี่ยง: ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับสมดุลกับความเสี่ยงหรือไม่
  • ระยะเวลาลงทุน: เลือกอายุหุ้นกู้ให้สอดคล้องกับแผนการเงินของคุณ
  • แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย: หากคาดว่าดอกเบี้ยจะขึ้น ควรพิจารณาหุ้นกู้ระยะสั้นเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้นกู้ในตลาดไทย

หุ้นกู้ เงินต้นหายไหม? (บริษัทผิดนัดชำระหนี้)

แม้หุ้นกู้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ก็ไม่ใช่การลงทุนที่ปลอดภัย 100% หากบริษัทผู้ออกผิดนัดชำระหนี้หรือล้มละลาย นักลงทุนอาจสูญเสียเงินต้นบางส่วนหรือทั้งหมด โดยเฉพาะในกรณีของหุ้นกู้ไม่มีประกันหรือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ อย่างไรก็ตาม สำนักงาน ก.ล.ต. ทำหน้าที่กำกับดูแลให้ข้อมูลโปร่งใส และมีกระบวนการทางกฎหมายคุ้มครองสิทธินักลงทุน แต่กระบวนการอาจใช้เวลานาน การพิจารณาเครดิตเรทติ้งจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยง

หุ้นกู้ตัวไหนดี 2568? และหุ้นกู้ออกใหม่มีอะไรน่าสนใจบ้าง?

ไม่มีคำตอบตายตัวว่าหุ้นกู้ตัวไหนดีที่สุดในปี 2568 เพราะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่คุณรับได้ ผลตอบแทนที่คาดหวัง และระยะเวลาการลงทุน หุ้นกู้ที่ “ดี” สำหรับคุณคือหุ้นกู้ที่เหมาะสมกับเป้าหมายของคุณ ควรพิจารณาจาก

  • เครดิตเรทติ้งของบริษัท
  • อัตราดอกเบี้ยที่เสนอ
  • ระยะเวลาไถ่ถอน
  • วัตถุประสงค์การใช้เงินของบริษัท

คุณสามารถติดตามข้อมูลหุ้นกู้ออกใหม่ได้จากเว็บไซต์ สำนักงาน ก.ล.ต. สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) หรือประกาศจากธนาคารและบล.

หุ้นกู้ด้อยสิทธิ คืออะไร และมีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นกู้ปกติอย่างไร?

หุ้นกู้ด้อยสิทธิคือหุ้นกู้ที่ผู้ถือได้รับชำระหนี้ในลำดับสุดท้ายหากบริษัทล้มละลาย แม้จะเป็นเจ้าหนี้ แต่ก็ต้องรอให้เจ้าหนี้อื่น ๆ และผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิได้รับชำระก่อน ความเสี่ยงที่สูงกว่าจึงทำให้ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยที่สูงกว่า จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง

การลงทุนหุ้นกู้ต้องเสียภาษีอย่างไรในประเทศไทย?

ดอกเบี้ยจากหุ้นกู้จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% สำหรับบุคคลธรรมดา หากดอกเบี้ยรวมต่อปีไม่เกิน 20,000 บาท สามารถเลือกไม่รวมในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ แต่หากเกินต้องนำมารวมคำนวณ แต่สามารถใช้สิทธิเครดิตภาษี 15% ได้ กำไรจากการขายหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด (Capital Gain) ไม่ต้องเสียภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อวางแผนให้เหมาะสม

หาข้อมูลหุ้นกู้เพิ่มเติมได้จากที่ไหนบ้าง (เช่น Pantip หรือแหล่งข้อมูลทางการ)?

แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้แก่

ส่วน Pantip หรือโซเชียลมีเดียสามารถใช้เป็นแหล่งแลกเปลี่ยนมุมมอง แต่ควรใช้วิจารณญาณและตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งทางการเสมอ

หากต้องการลงทุนหุ้นกู้จำนวนน้อยๆ สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นที่ไหนดีในประเทศไทย?

สำหรับมือใหม่ที่มีเงินลงทุนจำกัด ทางเลือกที่ดีคือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวมตราสารหนี้” ซึ่งบริหารโดยบลจ. โดยกองทุนเหล่านี้กระจายการลงทุนในหุ้นกู้หลายตัว ช่วยลดความเสี่ยงและมีเงินลงทุนเริ่มต้นต่ำ บางกองทุนเริ่มต้นเพียง 1,000 – 5,000 บาท คุณสามารถเปิดบัญชีได้ที่ธนาคารหรือบลจ. โดยตรง

หุ้นกู้ใน Pantip มีคนพูดถึงและแนะนำอย่างไรบ้าง เราควรเชื่อถือข้อมูลจากโซเชียลมีเดียได้แค่ไหน?

Pantip เป็นแหล่งรวมความคิดเห็นและความคิดเห็นที่หลากหลาย แต่ข้อมูลอาจไม่ถูกต้อง ล้าสมัย หรือมีอคติส่วนตัว บางครั้งอาจมีการโฆษณาแฝง ดังนั้น ควรใช้ Pantip เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการค้นหาข้อมูล แต่ต้องตรวจสอบข้อมูลกับแหล่งทางการ เช่น หนังสือชี้ชวน รายงานของ ก.ล.ต. หรือบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ก่อนตัดสินใจลงทุน

Q1: หุ้นกู้คืออะไร และเหมาะกับนักลงทุนประเภทไหนในประเทศไทย?

หุ้นกู้คือตราสารหนี้ที่ออกโดยบริษัทเอกชน เพื่อระดมทุนจากผู้ลงทุน โดยบริษัทจะจ่ายดอกเบี้ยตามกำหนดและคืนเงินต้นเมื่อครบอายุ เหมาะสำหรับนักลงทุนในประเทศไทยที่ต้องการผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและคาดการณ์ได้ มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่สูงกว่าเงินฝากประจำ เหมาะกับผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้ประจำให้พอร์ตการลงทุน

Q2: ถ้าบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ล้มละลาย เงินต้นที่เราลงทุนไปจะหายไปทั้งหมดหรือไม่ และมีหน่วยงานไหนคุ้มครองบ้าง?

หากบริษัทผู้ออกหุ้นกู้ล้มละลาย เงินต้นมีโอกาสที่จะหายไปทั้งหมดหรือบางส่วนได้ โดยเฉพาะในกรณีของหุ้นกู้ไม่มีประกันหรือหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ถึงแม้ว่าผู้ถือหุ้นกู้จะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้และมีสิทธิได้รับการชำระหนี้ก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ แต่ลำดับการชำระหนี้อาจยังอยู่หลังเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับประเภทของหุ้นกู้และหลักประกันที่อาจมี

ในประเทศไทย ไม่มีหน่วยงานที่ให้การคุ้มครองเงินต้นหุ้นกู้โดยตรงเหมือนเงินฝากธนาคาร (คุ้มครองโดยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก) อย่างไรก็ตาม สำนักงาน ก.ล.ต. มีบทบาทในการกำกับดูแลการออกและเสนอขายหุ้นกู้ให้เป็นไปตามกฎหมายและมีการเปิดเผยข้อมูลที่เพียงพอ เพื่อให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีข้อมูล การพิจารณาเครดิตเรทติ้งของบริษัทจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงนี้

Q3: หุ้นกู้ออกใหม่ในปี 2568 มีตัวไหนน่าสนใจเป็นพิเศษบ้าง และจะหาข้อมูลการจองซื้อได้จากที่ไหนในไทย?

การระบุหุ้นกู้ออกใหม่ที่น่าสนใจในปี 2568 ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น เครดิตเรทติ้งของบริษัท อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาไถ่ถอน และวัตถุประสงค์การใช้เงินของบริษัท ไม่มีหุ้นกู้ตัวใดที่ “ดีที่สุด” สำหรับทุกคน แต่มีหุ้นกู้ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของคุณ

คุณสามารถหาข้อมูลการจองซื้อหุ้นกู้ออกใหม่ในไทยได้จาก:

  • เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. (sec.or.th) ในส่วนของข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์
  • เว็บไซต์ของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA.or.th)
  • ประกาศจากธนาคารพาณิชย์และบริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นผู้จัดจำหน่าย
  • สื่อข่าวเศรษฐกิจและการเงินต่างๆ

ควรศึกษาข้อมูลจากหนังสือชี้ชวนและบทวิเคราะห์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ

Q4: การลงทุนหุ้นกู้มีข้อดีกว่าการฝากประจำธนาคารอย่างไรบ้างในภาวะดอกเบี้ยปัจจุบันของไทย?

ในภาวะดอกเบี้ยปัจจุบันของไทย การลงทุนหุ้นกู้มักมีข้อดีกว่าการฝากประจำธนาคารในแง่ของ “ผลตอบแทน” ที่สูงกว่า โดยเฉพาะหุ้นกู้ของบริษัทที่มีเครดิตดี หุ้นกู้สามารถให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่สูงกว่าเล็กน้อย

นอกจากนี้ หุ้นกู้ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถล็อคอัตราดอกเบี้ยไว้ได้ตลอดอายุของหุ้นกู้ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในภาวะที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลดลงในอนาคต ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนจากเงินออมโดยยังคงรักษาระดับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

Q5: หุ้นกู้ด้อยสิทธิกับหุ้นกู้ไม่มีประกัน แตกต่างกันอย่างไรในแง่ของความเสี่ยงและการคุ้มครองสำหรับนักลงทุนไทย?

หุ้นกู้ด้อยสิทธิและหุ้นกู้ไม่มีประกันต่างก็มีความเสี่ยงที่สูงกว่าหุ้นกู้ทั่วไป แต่มีจุดแตกต่างกันในแง่ของ “ลำดับการชำระหนี้” และ “การมีหลักประกัน”:

  • หุ้นกู้ด้อยสิทธิ: หมายถึงลำดับการชำระหนี้ในกรณีที่บริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นกู้ด้อยสิทธิจะได้รับชำระคืนหนี้เป็นลำดับท้ายๆ หลังจากเจ้าหนี้รายอื่น ๆ และผู้ถือหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิแล้ว แม้ว่าหุ้นกู้นั้นอาจจะมีหลักประกันหรือไม่ก็ได้ แต่ลำดับสิทธิในการเรียกร้องหนี้ยังคงเป็นด้อยสิทธิ
  • หุ้นกู้ไม่มีประกัน: หมายถึงการที่หุ้นกู้นั้นไม่มีหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินใดๆ ของบริษัทมาค้ำประกันการชำระหนี้ การชำระหนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการดำเนินงานและความน่าเชื่อถือของบริษัทล้วนๆ โดยหุ้นกู้ไม่มีประกันนั้นอาจเป็นหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ (ได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้ด้อยสิทธิ) หรืออาจเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิก็ได้

กล่าวคือ หุ้นกู้ไม่มีประกันที่ “ไม่ด้อยสิทธิ” จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นกู้ “ด้อยสิทธิ” ที่ “ไม่มีประกัน” ในกรณีที่บริษัทล้มละลาย แต่ทั้งสองประเภทก็มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้นกู้มีประกัน

Q6: จะตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ออกหุ้นกู้ได้อย่างไร เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดไทย?

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงในตลาดไทย คุณสามารถทำได้โดย:

  • ดูเครดิตเรทติ้ง (Credit Rating): ตรวจสอบอันดับความน่าเชื่อถือที่จัดทำโดยบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น TRIS Rating หรือ Fitch Ratings อันดับความน่าเชื่อถือที่ดี (เช่น A- หรือ BBB-) บ่งชี้ถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่สูง
  • วิเคราะห์งบการเงิน: ศึกษาผลประกอบการและฐานะทางการเงินของบริษัทจากงบการเงินย้อนหลัง (เช่น งบดุล งบกำไรขาดทุน) เพื่อดูความสามารถในการทำกำไร กระแสเงินสด และภาระหนี้สิน
  • อ่านหนังสือชี้ชวน: รายละเอียดเกี่ยวกับบริษัท วัตถุประสงค์การใช้เงิน เงื่อนไขของหุ้นกู้ และความเสี่ยงต่างๆ จะอยู่ในหนังสือชี้ชวน
  • ติดตามข่าวสารและอุตสาหกรรม: ประเมินแนวโน้มธุรกิจและภาวะอุตสาหกรรมของบริษัทผู้ออกหุ้นกู้

Q7: หุ้นกู้สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือในตลาดรองได้หรือไม่ และมีสภาพคล่องเป็นอย่างไรสำหรับนักลงทุนทั่วไป?

หุ้นกู้สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือใน “ตลาดรอง” ได้ โดยทั่วไปแล้วการซื้อขายในตลาดรองจะทำผ่าน “บริษัทหลักทรัพย์” หรือ “ธนาคาร” ที่ให้บริการ อย่างไรก็ตาม “สภาพคล่อง” ของหุ้นกู้ในตลาดรองสำหรับนักลงทุนทั่วไปนั้น “ไม่สูงนัก” เมื่อเทียบกับหุ้นสามัญใน “ตลาดหลักทรัพย์”

หุ้นกู้บางตัว โดยเฉพาะหุ้นกู้ของบริษัทขนาดเล็กหรือหุ้นกู้ที่มีมูลค่าการซื้อขายไม่มาก อาจหาผู้ซื้อได้ยากหากคุณต้องการขายก่อนครบกำหนดไถ่ถอน ซึ่งอาจส่งผลให้คุณต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าที่คาดไว้ ดังนั้น ก่อนลงทุนควรพิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้เงินและสภาพคล่องของหุ้นกู้นั้นๆ ด้วย

Q8: ต้องเสียภาษีจากการลงทุนหุ้นกู้ในประเทศไทยอย่างไรบ้าง และมีข้อควรทราบอะไรเป็นพิเศษ?

สำหรับการลงทุนหุ้นกู้ในประเทศไทย ดอกเบี้ยที่ได้รับจะถูกหัก “ภาษี” ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% สำหรับบุคคลธรรมดา ณ วันที่จ่ายดอกเบี้ย

ข้อควรทราบเป็นพิเศษ:

  • หากดอกเบี้ยที่ได้รับรวมทั้งปีไม่เกิน 20,000 บาท คุณสามารถเลือกที่จะไม่นำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตอนสิ้นปีได้
  • หากดอกเบี้ยที่ได้รับเกิน 20,000 บาท คุณจะต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่สามารถเลือกใช้สิทธิเครดิตภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% นั้นได้ หรือไม่ใช้สิทธิเครดิตภาษีก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าวิธีใดจะทำให้คุณเสียภาษีน้อยกว่า
  • กำไรจากการขายหุ้นกู้ในตลาดรอง (Capital Gain) โดยปกติจะไม่ต้องเสียภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาในประเทศไทย

แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตามสถานการณ์ส่วนบุคคลของคุณ

Q9: หากต้องการลงทุนหุ้นกู้จำนวนน้อยๆ สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นที่ไหนดีในประเทศไทย?

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการลงทุนหุ้นกู้ด้วยจำนวนเงินไม่มากในประเทศไทย ทางเลือกที่ดีที่สุดคือการลงทุนผ่าน “กองทุนรวมตราสารหนี้” ซึ่งบริหารจัดการโดย “บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน”

  • ข้อดี: กองทุนรวมตราสารหนี้ช่วยกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในหุ้นกู้หลายตัว, มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแล, และมีเงินลงทุนเริ่มต้นที่ไม่สูง (บางกองทุนเริ่มต้นเพียงหลักพันบาท)
  • ช่องทาง: คุณสามารถเปิดบัญชีกองทุนรวมได้ที่ธนาคารพาณิชย์เกือบทุกแห่ง หรือติดต่อบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนโดยตรง

วิธีนี้จะช่วยให้มือใหม่ได้เรียนรู้และทำความคุ้นเคยกับการลงทุนในหุ้นกู้โดยมีความเสี่ยงที่บริหารจัดการได้ดีกว่าการซื้อหุ้นกู้รายตัว

Q10: หุ้นกู้ใน Pantip มีคนพูดถึงและแนะนำอย่างไรบ้าง เราควรเชื่อถือข้อมูลจากโซเชียลมีเดียได้แค่ไหน?

ในเว็บบอร์ด “Pantip” มีการพูดถึงและแนะนำหุ้นกู้หลากหลายมุมมอง ทั้งจากผู้มีประสบการณ์และมือใหม่ ข้อมูลเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์ในการจุดประกายความคิดหรือแลกเปลี่ยนมุมมอง แต่คุณ “ควรเชื่อถือข้อมูลจากโซเชียลมีเดียด้วยวิจารณญาณอย่างสูง”

  • ข้อควรระวัง: ข้อมูลใน Pantip อาจไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน ล้าสมัย หรือเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวที่ไม่มีหลักฐานยืนยัน อีกทั้งยังอาจมีการชี้นำหรือโฆษณาแฝงได้
  • คำแนะนำ: ใช้ Pantip เป็นแหล่งข้อมูลเสริมเพื่อรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย แต่ “ต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลกับแหล่งที่มาทางการและน่าเชื่อถือ” เสมอ เช่น เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. รายงานประจำปีของบริษัท หรือบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ก่อนตัดสินใจลงทุนใดๆ

สรุป: ลงทุนหุ้นกู้ให้ประสบความสำเร็จในแบบฉบับของคุณ

หุ้นกู้เป็นเครื่องมือลงทุนที่ช่วยให้พอร์ตการลงทุนของคุณมีความสมดุลและมั่นคงมากขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอและควบคุมความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม หุ้นกู้ก็ไม่ใช่การลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านเครดิตที่เกิดจากบริษัทผู้ออก

กุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จคือการมีความรู้ความเข้าใจในประเภทต่าง ๆ ของหุ้นกู้ การประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบผ่านเครดิตเรทติ้งและงบการเงิน และการติดตามข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น ก.ล.ต. และ ThaiBMA ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นด้วยกองทุนรวมหรือเลือกลงทุนในหุ้นกู้รายตัว การจัดพอร์ตให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่รับได้จะช่วยให้คุณสร้างผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *