ต้นทุนการเทรด Forex ปี 2025: ควรดูแค่ค่าคอมมิชชั่นหรือไม่?
สำหรับเทรดเดอร์ชาวไทย การเลือกโบรกเกอร์ไม่ใช่แค่เรื่องของราคา แต่คือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อผลกำไรในระยะยาว หลายครั้งที่เทรดเดอร์มักโฟกัสเพียง “ค่าคอมมิชชั่น” โดยมองข้ามความจริงว่าต้นทุนที่แท้จริงของการเทรดประกอบด้วยทั้งค่าคอมมิชชั่นและค่าสเปรด การเข้าใจองค์ประกอบทั้งสองนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินโบรกเกอร์อย่างแม่นยำ
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกโครงสร้างต้นทุนในตลาดฟอเร็กซ์ปี 2025 พร้อมเปิดรายชื่อโบรกเกอร์ที่มีต้นทุนรวมต่ำที่สุดสำหรับเทรดเดอร์ในประเทศไทย โดยเน้นทั้งความโปร่งใส ความเร็วในการดำเนินการ และความสะดวกในการฝาก-ถอนเงินผ่านระบบธนาคารไทย

ค่าคอมมิชชั่น vs ค่าสเปรด: อะไรคือภาระต้นทุนที่แท้จริง?
ก่อนจะตัดสินใจเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ใด ๆ สิ่งแรกที่ควรเข้าใจคือ ต้นทุนการเทรดไม่ได้มีแค่ค่าคอมมิชชั่นเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากองค์ประกอบหลายอย่าง ซึ่งสองสิ่งที่ส่งผลโดยตรงที่สุดคือ ค่าคอมมิชชั่นและค่าสเปรด
ค่าคอมมิชชั่น: ค่าธรรมเนียมโดยตรงต่อการเทรด
ค่าคอมมิชชั่นเป็นค่าธรรมเนียมที่โบรกเกอร์เก็บจากคุณโดยตรงเมื่อคุณเปิดและปิดออเดอร์ ซึ่งมักจะปรากฏในบัญชีประเภท ECN หรือ Raw Spread ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ผู้เทรดเข้าถึงสภาพคล่องโดยตรงโดยไม่ผ่านตัวกลาง ทำให้สเปรดแคบมาก แม้จะอยู่ที่ 0.0 pips ก็ตาม
- รูปแบบ: คิดเป็นเงินต่อ 1 ล็อต แบบไป-กลับ (เช่น $6 ต่อล็อต)
- เหมาะกับ: นักเก็งกำไรระยะสั้น (Scalper), นักเทรดรายวัน (Day Trader), และผู้ใช้หุ่นยนต์เทรด (EAs)
- ประเภทบัญชี: ECN, Raw, Pro
ข้อดีคือความโปร่งใส — คุณรู้ว่าเสียอะไรไปเท่าไหร่ แต่ข้อควรระวังคือต้องคำนวณรวมกับสเปรดเพื่อดูต้นทุนที่แท้จริง
ค่าสเปรด: ค่าแอบแฝงในราคาที่คุณเห็น
ค่าสเปรดคือส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และเสนอขาย (Ask) ของคู่เงินนั้น ๆ นี่คือวิธีที่โบรกเกอร์ทำกำไรในบัญชี Standard หรือ Micro ที่ไม่คิดค่าคอมมิชชั่นแยก แต่จะถ่างสเปรดให้กว้างขึ้นแทน
- รูปแบบ: คำนวณเป็น pips (เช่น 1.2 pips สำหรับ EUR/USD)
- เหมาะกับ: เทรดเดอร์มือใหม่, ผู้ที่เทรดไม่บ่อย, หรือผู้ที่ต้องการความเรียบง่าย
- ประเภทบัญชี: Standard, Micro, Cent
ข้อดีคือไม่ต้องคำนวณค่าคอมเพิ่ม แต่ข้อเสียคือโบรกเกอร์อาจเพิ่มต้นทุนโดยการขยายสเปรดในช่วงตลาดผันผวน
สรุป:** ต้นทุนที่แท้จริง = ค่าคอมมิชชั่น + ค่าสเปรด** โบรกเกอร์ที่โฆษณาว่า “ไม่มีค่าคอม” อาจซ่อนต้นทุนไว้ในสเปรดที่กว้างกว่าปกติ ดังนั้นการเลือกโบรกเกอร์ในปี 2025 ควรพิจารณา “ต้นทุนรวม” มากกว่าตัวเลขค่าคอมเพียงอย่างเดียว
5 โบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ค่าคอมต่ำที่สุดในไทย ปี 2025
การจัดอันดับนี้พิจารณาจากข้อมูลล่าสุดในปี 2025 โดยประเมินจากต้นทุนการเทรดรวม ความน่าเชื่อถือของใบอนุญาต การสนับสนุนภาษาไทย และความสะดวกในการทำธุรกรรมผ่านธนาคารในประเทศ
1. Moneta Markets – ผู้นำด้านต้นทุนต่ำและสเปรด 0.0 pips
Moneta Markets ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะโบรกเกอร์ที่ให้เงื่อนไขการเทรดที่คุ้มค่าที่สุดในปี 2025 โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดต้นทุนให้ต่ำที่สุดผ่านบัญชี ECN Prime ที่ให้สเปรดเริ่มต้นที่ 0.0 pips และค่าคอมมิชชั่นเพียง $6 ต่อล็อตไป-กลับ
- ประเภทบัญชี: ECN Prime
- ค่าคอมมิชชั่นและสเปรด: $6 ต่อล็อต พร้อมสเปรด 0.0 pips สำหรับคู่เงินหลัก
- ข้อได้เปรียบสำหรับคนไทย: รองรับการฝาก-ถอนผ่าน QR Payment และ Internet Banking ของธนาคารไทยโดยไม่มีค่าธรรมเนียม และมีทีมซัพพอร์ตภาษาไทยตลอด 24 ชั่วโมง
- ใบอนุญาต: กำกับดูแลโดย ASIC (ออสเตรเลีย) และ FSCA (แอฟริกาใต้) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีมาตรฐานสูงและรับรองความปลอดภัยของเงินลูกค้า
2. IC Markets – สเปรด Raw ต่ำสุดระดับโลก
IC Markets ถือเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ True ECN ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยสภาพคล่องจากธนาคารชั้นนำหลายแห่ง ทำให้สามารถรักษาระดับสเปรดเฉลี่ยของ EUR/USD ไว้ที่เพียง 0.1 pips ได้อย่างต่อเนื่อง
- ประเภทบัญชี: Raw Spread
- ค่าคอมมิชชั่นและสเปรด: $7 ต่อล็อต (ไป-กลับ) และสเปรดเฉลี่ย 0.1 pips
- ข้อได้เปรียบ: มีเว็บไซต์ภาษาไทย ทีมบริการลูกค้าที่พูดไทยได้ และรองรับการฝากถอนผ่านธนาคารไทย
- ใบอนุญาต: ASIC และ CySEC
3. Pepperstone – ความเร็วในการส่งคำสั่งอันดับต้น ๆ
Pepperstone โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีการส่งคำสั่งที่รวดเร็วและเสถียร ช่วยลดปัญหา Slippage ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงข่าวสำคัญหรือตลาดผันผวน
- ประเภทบัญชี: Razor Account
- ค่าคอมมิชชั่นและสเปรด: $7 ต่อล็อต และสเปรดเริ่มต้นที่ 0.0 pips
- ข้อได้เปรียบ: มีแพลตฟอร์มหลากหลาย เช่น MT4, MT5 และ cTrader พร้อมสนับสนุนภาษาไทย
- ใบอนุญาต: ASIC และ FCA (สหราชอาณาจักร) — หน่วยงานที่เข้มงวดที่สุดในยุโรป
4. Exness – ความยืดหยุ่นสูงและ Leverage ไม่จำกัด
Exness เป็นที่นิยมอย่างมากในเอเชีย โดยเฉพาะในกลุ่มเทรดเดอร์ที่ต้องการความเร็วในการถอนเงินและ Leverage สูง
- ประเภทบัญชี: Zero Account
- ค่าคอมมิชชั่นและสเปรด: เริ่มต้น $0.4 ต่อล็อตไป-กลับ และสเปรด 0.0 pips สำหรับ 30 คู่เงินแรก
- ข้อได้เปรียบ: ฝาก-ถอนผ่านธนาคารไทยและ QR Code ได้ทันที ภายในไม่กี่วินาที
- ใบอนุญาต: CySEC และ FSCA
5. IUX Markets – โบรกเกอร์ดาวรุ่งที่เติบโตเร็วในไทย
IUX Markets เป็นโบรกเกอร์ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยนำเสนอโปรโมชั่นดึงดูดใจและต้นทุนการเทรดที่แข่งขันได้
- ประเภทบัญชี: ECN Pro
- ค่าคอมมิชชั่นและสเปรด: $6 ต่อล็อต และสเปรดเฉลี่ย 0.2 pips สำหรับคู่เงินหลัก
- ข้อได้เปรียบ: มีโบนัสเงินฝาก และรองรับการฝากถอนผ่านธนาคารไทย
- ใบอนุญาต: MISA (ไม่ใช่ Tier-1 แต่ยังอยู่ภายใต้กรอบกำกับดูแล)

ตารางเปรียบเทียบโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ค่าคอมต่ำ ปี 2025
ด้านล่างนี้คือตารางสรุปข้อมูลสำคัญของโบรกเกอร์ชั้นนำ เพื่อช่วยให้คุณเปรียบเทียบเงื่อนไขได้อย่างชัดเจน
โบรกเกอร์ | ประเภทบัญชีแนะนำ | ค่าคอมมิชชั่น (ไป-กลับ) | สเปรดเฉลี่ย (EUR/USD) | เงินฝากขั้นต่ำ | Leverage สูงสุด | หน่วยงานกำกับดูแล | รองรับธนาคารไทย |
---|---|---|---|---|---|---|---|
Moneta Markets | ECN Prime | $6 | 0.0 Pips | $50 | 1:1000 | ASIC, FSCA | ใช่ |
IC Markets | Raw Spread | $7 | 0.1 Pips | $200 | 1:1000 | ASIC, CySEC | ใช่ |
Pepperstone | Razor | $7 | 0.0 Pips | $200 | 1:500 | ASIC, FCA | ใช่ |
Exness | Zero | เริ่มต้น $0.4 | 0.0 Pips | $10 | ไม่จำกัด | CySEC, FSCA | ใช่ |
IUX Markets | ECN Pro | $6 | 0.2 Pips | $10 | 1:3000 | MISA | ใช่ |
3 เรื่องสำคัญที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติมนอกเหนือจากค่าคอมมิชชั่น
การเลือกโบรกเกอร์ไม่ควรตัดสินจากตัวเลขค่าคอมเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูปัจจัยเสริมที่มีผลต่อประสบการณ์การเทรดระยะยาว
1. ความน่าเชื่อถือและการกำกับดูแล
โบรกเกอร์ที่ดีต้องมีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลระดับโลก เช่น ASIC, FCA หรือ CySEC ซึ่งไม่เพียงแค่ยืนยันความโปร่งใส แต่ยังบังคับให้โบรกเกอร์ต้องแยกเงินลูกค้าออกจากเงินบริษัท (Segregated Funds) เพื่อป้องกันความเสี่ยงในกรณีล้มละลาย ตามข้อมูลจาก Investopedia การแยกบัญชีเป็นมาตรฐานทองคำในอุตสาหกรรม
2. คุณภาพการส่งคำสั่ง (Execution Quality)
แม้ค่าคอมจะต่ำ แต่หากคำสั่งของคุณถูก execute ช้าหรือเกิด Slippage บ่อย ต้นทุนที่แท้จริงก็สูงขึ้นทันที โบรกเกอร์ที่มีเซิร์ฟเวอร์เร็วและเชื่อมต่อกับสภาพคล่องหลายแหล่ง เช่น Moneta Markets และ Pepperstone มักให้ประสบการณ์การส่งคำสั่งที่เหนือกว่า
3. ความสะดวกในการฝาก-ถอนเงิน
สำหรับเทรดเดอร์ไทย การฝาก-ถอนผ่านธนาคารในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ โบรกเกอร์ที่ดีควรมีช่องทางที่หลากหลาย เช่น QR Payment, Internet Banking โดยไม่คิดค่าธรรมเนียมและดำเนินการภายในไม่กี่นาที Exness และ Moneta Markets เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นในด้านนี้
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
1. โบรกเกอร์ Forex ที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่นดีจริงหรือไม่?
โบรกเกอร์ที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่น (มักเรียกว่าบัญชี Standard) ไม่ได้หมายความว่าไม่มีต้นทุนการเทรด โบรกเกอร์เหล่านี้จะทำกำไรจาก “ค่าสเปรด” ที่กว้างกว่าบัญชีที่มีค่าคอมมิชชั่น บัญชีประเภทนี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่หรือผู้ที่เทรดไม่บ่อยเพราะคำนวณต้นทุนง่าย แต่สำหรับเทรดเดอร์ที่เทรดบ่อย การเลือกบัญชี ECN ที่มีค่าคอมมิชชั่นต่ำและสเปรดแคบมาก มักจะมี “ต้นทุนรวม” ที่ต่ำกว่าในระยะยาว
2. บัญชี ECN กับบัญชี Standard ควรเลือกแบบไหนในปี 2025?
การเลือกขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ:
- บัญชี ECN: เหมาะสำหรับ Scalpers, Day Traders และผู้ที่ใช้ EA เนื่องจากมีสเปรดที่แคบมาก ทำให้เข้า-ออกออเดอร์ได้อย่างรวดเร็วด้วยต้นทุนรวมที่ต่ำกว่า แม้จะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นแยกต่างหากก็ตาม Moneta Markets เป็นตัวอย่างที่ดีของโบรกเกอร์ที่มีบัญชี ECN Prime ที่ให้เงื่อนไขค่าคอมมิชชั่นและสเปรดที่แข่งขันได้สูง
- บัญชี Standard: เหมาะสำหรับ Swing Traders, Position Traders หรือมือใหม่ที่ต้องการความเรียบง่าย ไม่ต้องคำนวณค่าคอมมิชชั่นแยก และเทรดในปริมาณที่ไม่สูงมากนัก
3. ค่าสเปรดทองคำ (XAU/USD) ของโบรกเกอร์ไหนต่ำที่สุด?
ค่าสเปรดทองคำมีความผันผวนสูงและแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์ โดยทั่วไปแล้ว โบรกเกอร์ที่มีสภาพคล่องสูงอย่าง Moneta Markets, IC Markets และ Pepperstone มักจะเสนอสเปรดทองคำในบัญชี ECN/Raw Spread ที่แคบมากและแข่งขันได้สูง อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบสเปรดแบบเรียลไทม์บนแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์นั้นๆ เพื่อข้อมูลที่แม่นยำที่สุด
4. การเทรด Forex ในประเทศไทยถูกกฎหมายหรือไม่?
ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายในประเทศไทยที่รองรับการเทรด Forex ของบุคคลทั่วไปโดยตรง แต่ก็ไม่มีกฎหมายที่ระบุว่าผิดอย่างชัดเจน สถานะจึงเป็น “พื้นที่สีเทา” อย่างไรก็ตาม การเลือกเทรดกับโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานทางการเงินที่น่าเชื่อถือในต่างประเทศ (เช่น ASIC, FCA) ถือเป็นวิธีปฏิบัติที่ปลอดภัยที่สุดเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ ข้อมูลจาก ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับมุมมองทางกฎหมายในเรื่องนี้
5. โบรกเกอร์ Forex ที่น่าเชื่อถือในไทยควรมีใบอนุญาตจากที่ไหน?
โบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือควรได้รับการกำกับดูแลจากหน่วยงานทางการเงินชั้นนำ (Tier-1) อย่างน้อยหนึ่งแห่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ได้แก่:
- ASIC (Australian Securities and Investments Commission) – ออสเตรเลีย
- FCA (Financial Conduct Authority) – สหราชอาณาจักร
- CySEC (Cyprus Securities and Exchange Commission) – ไซปรัส
การมีใบอนุญาตเหล่านี้แสดงว่าโบรกเกอร์ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการดำเนินงานที่เข้มงวดและให้ความคุ้มครองแก่นักลงทุน
6. เราจะตรวจสอบค่าคอมมิชชั่นและสเปรดของโบรกเกอร์ได้อย่างไร?
วิธีที่ดีที่สุดคือการเปิดบัญชีทดลอง (Demo Account) กับโบรกเกอร์ที่คุณสนใจ คุณสามารถดูค่าสเปรดแบบเรียลไทม์ได้จากหน้าต่าง Market Watch บนแพลตฟอร์ม MT4/MT5 ส่วนค่าคอมมิชชั่นจะระบุไว้อย่างชัดเจนในหน้าข้อมูลประเภทบัญชีบนเว็บไซต์ของโบรกเกอร์ การเปรียบเทียบจากบัญชี Demo จะช่วยให้คุณเห็นภาพต้นทุนที่แท้จริงได้ดีที่สุด
7. Moneta Markets มีฝ่ายบริการลูกค้าเป็นภาษาไทยหรือไม่?
ใช่, Moneta Markets ให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างมาก จึงมีทีมงานฝ่ายบริการลูกค้าที่สามารถสื่อสารเป็นภาษาไทยได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อคอยให้ความช่วยเหลือและตอบข้อสงสัยต่างๆ ของเทรดเดอร์ชาวไทยโดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
8. โบรกเกอร์ Forex ที่คนไทยนิยมใช้มากที่สุดคือเจ้าไหน?
ความนิยมอาจเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา แต่โดยทั่วไปแล้ว โบรกเกอร์ที่คนไทยนิยมใช้มักจะมีคุณสมบัติร่วมกันคือ มีความน่าเชื่อถือสูง, มีระบบฝาก-ถอนผ่านธนาคารไทยที่รวดเร็ว, มีค่าสเปรดและคอมมิชชั่นที่ต่ำ และมีทีมซัพพอร์ตภาษาไทย ซึ่งโบรกเกอร์ที่ติดอันดับในบทความนี้ เช่น Moneta Markets, IC Markets, และ Exness ล้วนเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มเทรดเดอร์ชาวไทย