‘Trust Issues’: เมื่อความเจ็บปวดในอดีตปิดกั้นหัวใจไม่ให้ไว้ใจใครอีก
ในโลกที่ความสัมพันธ์คือหัวใจสำคัญของการดำรงชีวิต ‘ความไว้วางใจ’ คือรากฐานที่ไม่อาจขาดได้ เปรียบเสมือนเสาหลักที่ค้ำจุนให้ทุกความสัมพันธ์ไม่ว่าจะในครอบครัว ความรัก หรือการทำงาน ดำเนินไปได้อย่างมั่นคง ทว่าสำหรับหลายคน ประสบการณ์อันเจ็บปวดในอดีตกลับสร้างกำแพงแห่งความไม่ไว้วางใจ หรือที่เราเรียกกันว่า ‘Trust Issues’ กั้นขวางไม่ให้พวกเขากล้าเปิดใจอีกครั้ง คุณเคยรู้สึกไหมว่าแม้ปรารถนาความใกล้ชิด แต่ก็มีบางสิ่งฉุดรั้งไว้ ไม่กล้าที่จะปล่อยใจให้เชื่อมั่นในผู้อื่นอย่างแท้จริง? บทความนี้จะชวนคุณมาทำความเข้าใจปรากฏการณ์นี้อย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่สาเหตุ สัญญาณที่ควรสังเกต ไปจนถึงแนวทางการรับมือเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยความเชื่อใจอีกครั้ง เพราะเราเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพที่จะเยียวยาและก้าวข้ามความเจ็บปวด เพื่อเปิดรับความสุขที่แท้จริงในชีวิต
ในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจประสบปัญหา Trust Issues ซึ่งส่งผลต่อความสัมพันธ์และอารมณ์ของตนเอง โดยจะมีสาเหตุและลักษณะหรือลักษณะเฉพาะที่สามารถมองเห็นได้
ลักษณะ | คำอธิบาย |
---|---|
การถูกหักหลังหรือทรยศ | เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่นำไปสู่ความไม่ไว้วางใจ |
การถูกทอดทิ้งหรือละเลย | นำไปสู่ความไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ |
การซึมซับจากความสัมพันธ์ของคนใกล้ชิด | สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาในความสัมพันธ์ในอนาคต |
‘Trust Issues’ คืออะไร? ทำไมเราถึงไม่กล้าไว้ใจใคร?
หัวใจสำคัญของ ‘Trust Issues’ คือภาวะที่เราไม่สามารถ ไว้วางใจ ผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย มักมีความรู้สึกกลัว ความหวาดระแวงแฝงอยู่ ทำให้ไม่กล้าเปิดใจและอาจนำไปสู่การสร้างระยะห่างในความสัมพันธ์ ลองนึกภาพหัวใจของเราเป็นสวนที่สวยงาม หากเคยมีใครเข้ามาทำลายมันด้วยการโกหก การนอกใจ หรือการหักหลัง กำแพงป้องกันก็จะถูกสร้างขึ้นสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อปกป้องตัวเองจากการบาดเจ็บซ้ำ คุณเคยรู้สึกเหมือนกำลังสร้างกำแพงในใจเพื่อป้องกันตัวเองจากการถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือไม่?
สาเหตุหลักของ Trust Issues มักฝังรากลึกมาจากประสบการณ์ในอดีตที่เจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็น:
- การถูกหักหลังหรือทรยศ: นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นจากคนรัก เพื่อนสนิท หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัว การถูกโกหกซ้ำ ๆ หรือการนอกใจ สามารถทิ้งบาดแผลทางใจที่ลึกซึ้ง ทำให้ยากที่จะเชื่อใจใครได้อีก
- การถูกทอดทิ้งหรือละเลย: การรู้สึกถูกทอดทิ้งในวัยเด็กหรือไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่ที่เพียงพอ อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงและกลัวการถูกทอดทิ้งในความสัมพันธ์ผู้ใหญ่
- การซึมซับจากความสัมพันธ์ของคนใกล้ชิดในวัยเด็ก: หากในวัยเด็กเราเห็นพ่อแม่หรือผู้ดูแลมีความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ การทะเลาะเบาะแว้ง หรือการนอกใจ รูปแบบความสัมพันธ์เหล่านั้นอาจถูกซึมซับและกลายเป็นแม่แบบที่เรานำมาใช้ในความสัมพันธ์ของเราเองโดยไม่รู้ตัว
- ประสบการณ์อกหักซ้ำซาก: การเผชิญกับการเลิกราที่เจ็บปวดหลายครั้ง หรือการถูกทำร้ายความรู้สึกจากความรัก อาจทำให้เกิดความรู้สึกเหนื่อยล้าและไม่อยากเสี่ยงที่จะเปิดใจอีก
ความทรงจำเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก และเมื่อเราต้องเผชิญกับความสัมพันธ์ใหม่ ๆ สัญญาณเล็กน้อยที่อาจดูไม่สำคัญสำหรับคนอื่น กลับสามารถกระตุ้นบาดแผลเก่า ๆ ให้ปะทุขึ้นมาได้ ทำให้เรากลายเป็นคนระแวงและยากที่จะไว้ใจใครง่าย ๆ
สัญญาณ | คำอธิบาย |
---|---|
กลัวการเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ | หลีกเลี่ยงความผูกมัด เพราะกลัวที่จะถูกทำร้าย |
ไม่กล้ามีความสัมพันธ์ระยะยาว | เห็นว่าการผูกมัดเป็นการเปิดเผยให้คนอื่น |
มีพฤติกรรมจับผิด | คิดว่าคนอื่นจะทำผิดอยู่เสมอ |
ผลกระทบของ ‘Trust Issues’ ต่อสุขภาพจิตและความสัมพันธ์
การแบกรับ ปัญหาความไม่ไว้วางใจ ไว้ในใจอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่ยังกัดกร่อนสุขภาพจิตของเราอย่างช้าๆ คุณเคยรู้สึกเหมือนกำลังติดอยู่ในวงจรของความกังวลและความเหงาที่ไม่มีทางออกหรือไม่?
ผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิตที่พบบ่อยได้แก่:
- ภาวะซึมเศร้า: การไม่สามารถเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้อย่างลึกซึ้ง การรู้สึกโดดเดี่ยว และการวนเวียนอยู่กับความเจ็บปวดในอดีต สามารถนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ ผู้ที่มี Trust Issues มักรู้สึกสิ้นหวังและขาดความสุขในชีวิต
- ความวิตกกังวลและอาการตื่นตระหนก: ความหวาดระแวงและความกลัวการถูกทำร้ายซ้ำๆ ทำให้จิตใจอยู่ในสภาวะตึงเครียดตลอดเวลา ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะวิตกกังวลทั่วไป หรือแม้กระทั่งอาการตื่นตระหนก (Panic Attack) เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่กระตุ้นความกลัว
- การแยกตัวจากสังคม: เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด ผู้ที่มี Trust Issues อาจเลือกที่จะปลีกตัวออกจากสังคม ทำให้ขาดการสนับสนุนทางอารมณ์และรู้สึกโดดเดี่ยวมากขึ้น
- ปัญหาความภาคภูมิใจในตนเอง: การที่เชื่อว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความรักหรือความไว้วางใจ อาจทำให้ความภาคภูมิใจในตนเองลดลง และส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในด้านอื่นๆ
ในด้านความสัมพันธ์ การขาด ความเชื่อใจ เป็นเชื้อร้ายที่บั่นทอนทุกสิ่ง ทำให้เกิดความตึงเครียด การทะเลาะเบาะแว้ง และในที่สุดก็นำไปสู่การเลิกรา แม้ว่าอีกฝ่ายจะรักและพยายามมากเพียงใด การที่อีกคนไม่สามารถเปิดใจและเชื่อมั่นได้ ก็ยากที่ความสัมพันธ์นั้นจะยั่งยืนได้จริง
เปิดเผย 4 ประเภทหลักของ ‘Trust Issues’ ที่คุณควรรู้
Trust Issues ไม่ได้มีเพียงรูปแบบเดียว แต่สามารถแสดงออกได้หลายลักษณะ การทำความเข้าใจประเภทเหล่านี้จะช่วยให้เรามองเห็นภาพปัญหาของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น ว่าเรากำลังเผชิญกับความไม่ไว้วางใจในลักษณะใด และจะรับมือกับมันได้อย่างไร
1. ชอบจับผิด (Suspicious/Perfectionist Trust Issues):
- ลักษณะเด่น: ผู้ที่มี Trust Issues ในรูปแบบนี้มักจะคอยจับผิดคนและเหตุการณ์เล็กน้อยเสมอ พวกเขาจะสังเกตทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นคำพูด การกระทำ หรือแม้แต่ภาษากาย และนำมาตีความในแง่ลบอยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนมีแว่นขยายที่ขยายทุกข้อผิดพลาดและมองข้ามสิ่งดี ๆ
- พฤติกรรมที่พบ: การตรวจสอบโทรศัพท์มือถือ, การซักไซ้ไล่เรียงคำพูด, การไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ แม้จะมีหลักฐานชัดเจน, การระแวงว่าอีกฝ่ายกำลังโกหกหรือปิดบังบางสิ่ง
- รากฐาน: มักมาจากประสบการณ์ที่ถูกโกหกหรือถูกหลอกลวงซ้ำ ๆ ทำให้เกิดความเชื่อว่า “ทุกคนจะพยายามหลอกลวงฉัน”
2. ขี้อิจฉา (Jealousy/Controlling Trust Issues):
- ลักษณะเด่น: ความหึงหวงเป็นสิ่งหนึ่งที่บ่งบอกถึง Trust Issues ในรูปแบบนี้ ผู้ที่มีลักษณะนี้มักจะแสดงความเป็นเจ้าของอย่างรุนแรง ต้องการควบคุมชีวิตคนรักทุกอย่าง ตั้งแต่การแต่งตัว เพื่อนฝูง กิจกรรมที่ทำ ไปจนถึงการใช้จ่าย พวกเขามักโมโหร้ายเมื่อรู้สึกถูกคุกคามหรือเมื่อคนรักใช้เวลากับผู้อื่น
- พฤติกรรมที่พบ: การจำกัดอิสระของอีกฝ่าย, การตามติด, การสอดส่อง, การแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงเมื่ออีกฝ่ายมีสังคมของตัวเอง
- รากฐาน: มักมาจากความไม่มั่นคงภายในใจ ความกลัวถูกทอดทิ้ง หรือความเชื่อว่าตนเองไม่ดีพอที่จะถูกรัก
Pistanthrophobia และ Broken Picker Syndrome: เมื่อความกลัวกัดกินหัวใจ
นอกจากการจับผิดและความขี้อิจฉาแล้ว ยังมี Trust Issues ในรูปแบบที่รุนแรงและซับซ้อนยิ่งขึ้น ที่มักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นภาวะทางจิตวิทยา ได้แก่ Pistanthrophobia และ Broken Picker Syndrome ซึ่งสะท้อนถึงบาดแผลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า
3. โรคกลัวการไว้ใจคนอื่น (Pistanthrophobia):
- นิยาม: นี่ไม่ใช่แค่ความไม่ไว้วางใจทั่วไป แต่เป็น โรคกลัวการไว้ใจคนอื่น ที่มีความกลัวมากกว่าปกติ ร่วมกับอาการวิตกกังวลและตื่นตระหนกอย่างรุนแรงเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดใจหรือสร้างความสัมพันธ์
- อาการ: ผู้ป่วยมักมีพฤติกรรมการปลีกตัวอย่างรุนแรง หลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะโรแมนติก เพื่อน หรือครอบครัว อาจมีอาการทางกาย เช่น หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก หายใจลำบาก เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องไว้ใจผู้อื่น
- รากฐาน: มักเกิดจากประสบการณ์การถูกหักหลังหรือถูกทำร้ายจิตใจที่รุนแรงและฝังใจในอดีต ทำให้สมองเชื่อมโยง “การไว้ใจ” กับ “ความเจ็บปวด” อย่างแน่นแฟ้น
4. การกลัวการเลือกคู่ผิด (Broken Picker Syndrome):
- นิยาม: ภาวะนี้คือความกลัวอย่างรุนแรงที่จะ เลือกคบคนผิด ทำให้ผู้ที่มีภาวะนี้ไม่เชื่อมั่นในสัญชาตญาณหรือการตัดสินใจของตัวเองในการเลือกคู่ พวกเขามักจะคิดวนเวียนอยู่กับความผิดพลาดในอดีตและเชื่อว่าตัวเองจะทำผิดพลาดซ้ำรอยอีก
- พฤติกรรมที่พบ: ผู้ที่มี Broken Picker Syndrome มักจะเลื่อนการตัดสินใจที่จะคบใครอย่างจริงจัง หรือเมื่ออยู่ในความสัมพันธ์แล้ว ก็จะเต็มไปด้วยความสงสัยในตัวคนรักและในตัวเลือกของตัวเองตลอดเวลา ทำให้ความสัมพันธ์ถูกบั่นทอนลงเพราะความไม่มั่นใจ
- รากฐาน: มักมาจากประสบการณ์อกหักซ้ำซาก หรือการเลือกคบคนที่ไม่เหมาะสมติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองมี “ตาไม่ถึง” หรือ “เลือกใครก็ผิดไปหมด”
ทั้ง Pistanthrophobia และ Broken Picker Syndrome ล้วนเป็นภาวะที่ต้องการความเข้าใจและการเยียวยาอย่างลึกซึ้ง และบ่อยครั้งก็จำเป็นต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
ความแตกต่างระหว่างความระแวงกับการระวัง: เส้นแบ่งที่ละเอียดอ่อน
ในชีวิตประจำวัน เรามักได้ยินคำว่า ‘ระแวง’ และ ‘ระวัง’ ถูกใช้สลับกัน แต่ในทางจิตวิทยาแล้ว คำสองคำนี้มีความหมายและนัยยะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง การทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้เราประเมินตัวเองได้ว่า สิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่คือกลไกป้องกันตัวตามธรรมชาติ หรือเป็น Trust Issues ที่ต้องการการจัดการ
- การระวัง (Caution/Vigilance): คือกลไกการป้องกันตัวเองตามธรรมชาติที่จำเป็นต่อการเอาชีวิตรอดและดำเนินชีวิตอย่างปลอดภัย เป็นการใช้เหตุผลและประสบการณ์เพื่อประเมินสถานการณ์และบุคคลอย่างรอบคอบ คุณเคยรู้สึกว่าการประเมินสถานการณ์อย่างรอบคอบคือสิ่งจำเป็นเพื่อปกป้องตัวเองจากความเสี่ยงหรือไม่?
- การระแวง (Suspicion/Paranoia): คือการไม่ไว้ใจเกินกว่าเหตุ หรือไม่มีเหตุผลรองรับที่ชัดเจน มักมีความคิดหรือความรู้สึกที่ไม่สมเหตุสมผลเข้ามาเกี่ยวข้อง และอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคจิตเภท หรือ Trust Issues ที่รุนแรง
ตัวอย่าง: คุณสงสัยว่าคนรักกำลังนอกใจ ทั้งที่ไม่มีสัญญาณบ่งชี้ที่ชัดเจน เขาเพียงแค่ตอบข้อความช้าไป 5 นาที คุณก็เริ่มจินตนาการถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และเริ่มตรวจสอบการเคลื่อนไหวของเขาอย่างลับ ๆ โดยไม่มีหลักฐานใด ๆ มารองรับ
ตัวอย่าง: คุณเพิ่งเคยถูกมิจฉาชีพหลอกลวงทางโทรศัพท์ ดังนั้นครั้งต่อไปเมื่อมีเบอร์แปลกโทรมา คุณจะระวังตัวเป็นพิเศษ ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว และตรวจสอบแหล่งที่มาของสายก่อนที่จะเชื่อใจ ซึ่งเป็นการกระทำที่สมเหตุสมผลและเป็นการปกป้องตัวเอง
ความแตกต่างอยู่ที่ ‘เหตุผล’ และ ‘สัดส่วน’ การระวังมีเหตุผลรองรับและเป็นสัดส่วนที่เหมาะสมกับความเสี่ยง ในขณะที่การระแวงนั้นไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน และเป็นการตอบสนองที่เกินกว่าเหตุ การแยกแยะความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญเพื่อที่เราจะสามารถก้าวข้ามความไม่ไว้วางใจที่ไม่จำเป็น และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นได้
‘Trust Issues’ ในบริบทพ่อแม่: เมื่อความรักมาพร้อมความไม่ไว้วางใจ
ปัญหา Trust Issues ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในความสัมพันธ์เชิงคู่รัก แต่ยังสามารถเกิดขึ้นในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก ซึ่งมักแสดงออกในรูปแบบที่แตกต่างออกไป แต่ก็ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อพัฒนาการของลูก
‘Trust Issues’ ของพ่อแม่ คือการที่พ่อแม่ไม่สามารถไว้วางใจว่าลูกจะดูแลตัวเอง หรือจัดการปัญหาและตัดสินใจได้ด้วยตัวเองอย่างถูกต้อง มักมีความกลัวแฝงอยู่ว่าลูกจะผิดพลาด เป็นอันตราย หรือไม่สามารถรับมือกับโลกภายนอกได้ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้อาจเกิดจาก:
- ประสบการณ์ส่วนตัวของพ่อแม่: หากพ่อแม่เคยผ่านประสบการณ์ที่เจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้ง การถูกหลอกลวง หรือความล้มเหลวที่รุนแรงในอดีต พวกเขาก็อาจฉายภาพความกลัวนั้นมายังลูก และไม่ไว้วางใจในความสามารถของลูกที่จะเผชิญหน้ากับโลก
- ความรักและความห่วงใยที่มากเกินไป: ในบางกรณี ความรักและความห่วงใยที่มากเกินไปอาจกลายเป็นความไม่ไว้วางใจ โดยพ่อแม่เชื่อว่าการควบคุมและปกป้องลูกอย่างใกล้ชิดคือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ลูกปลอดภัย
- ค่านิยมทางสังคมและวัฒนธรรม: บางวัฒนธรรมอาจมีค่านิยมที่ส่งเสริมให้พ่อแม่ปกป้องและดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ทำให้เกิดพฤติกรรมการควบคุมโดยไม่รู้ตัว
สัญญาณบ่งชี้ Trust Issues ในผู้ปกครอง:
- ไม่สามารถปล่อยให้ลูกทำอะไรด้วยตัวเองได้: ไม่ว่าลูกจะอยู่ในวัยใด พ่อแม่ก็มักจะกังวลและเข้าไปจัดการทุกอย่างแทนลูก ตั้งแต่การบ้าน การเลือกเพื่อน ไปจนถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต
- วิตกกังวลกับทุกสถานการณ์ของลูกมากเกินไป: แม้เป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น ลูกไปเที่ยวกับเพื่อน พ่อแม่ก็อาจจะเต็มไปด้วยความกังวลและโทรศัพท์เช็คบ่อยครั้ง
- ไม่เชื่อมั่นในความสามารถของลูก: พ่อแม่มักจะมองเห็นแต่จุดอ่อนของลูก และไม่เชื่อว่าลูกจะสามารถประสบความสำเร็จหรือจัดการปัญหาได้ด้วยตัวเอง
- ต้องการควบคุมชีวิตลูกทุกอย่าง: ตั้งแต่การเรียน อาชีพ คู่ครอง ไปจนถึงการใช้ชีวิตส่วนตัว ซึ่งเป็นการละเมิดพื้นที่ส่วนตัวของลูกและบั่นทอนความเป็นอิสระ
พฤติกรรมเหล่านี้แม้จะมาจากความรักและความปรารถนาดี แต่กลับส่งผลเสียต่อลูกอย่างมาก
ผลกระทบ | คำอธิบาย |
---|---|
ลูกขาดความมั่นใจในตนเอง | ไม่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง ทำให้ไม่กล้าตัดสินใจ |
ลูกกลัวความล้มเหลว | ไม่เรียนรู้ที่จะรับมือกับความผิดหวัง |
ลูกขาดทักษะการแก้ปัญหา | ไม่พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ออกมาสู่สังคม |
แนวทางการเยียวยาและเริ่มต้นสร้างความไว้วางใจขึ้นใหม่
การเยียวยา Trust Issues ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องอาศัยเวลา แต่เป็นสิ่งที่ทำได้และคุ้มค่าอย่างยิ่ง การเริ่มต้นก้าวแรกอย่างจริงจังจะนำคุณไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นและชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น คุณพร้อมที่จะเริ่มต้นการเดินทางแห่งการเยียวยานี้ไปพร้อมกับเราแล้วหรือยัง?
1. สังเกตและทำความเข้าใจพฤติกรรมของตนเองอย่างลึกซึ้ง:
- ระบุต้นตอของปัญหา: ลองย้อนกลับไปในอดีตเพื่อค้นหาว่าอะไรคือประสบการณ์แรกที่ทำให้คุณเริ่มไม่ไว้วางใจผู้อื่น การรู้ต้นตอจะช่วยให้คุณเข้าใจกลไกทางจิตวิทยาที่เกิดขึ้น
- จดบันทึกพฤติกรรมและอารมณ์: เมื่อคุณรู้สึกไม่ไว้วางใจ ลองจดบันทึกว่าเกิดอะไรขึ้น คุณรู้สึกอย่างไร และคุณมีปฏิกิริยาอย่างไร การทำเช่นนี้จะช่วยให้คุณเห็นรูปแบบและสัญญาณเตือน
- ท้าทายความคิดเชิงลบ: เมื่อคุณคิดว่า “เขาจะต้องหลอกฉันแน่ ๆ” หรือ “ไม่มีใครน่าไว้ใจ” ให้หยุดและท้าทายความคิดนั้น ลองหาหลักฐานที่ขัดแย้ง หรือมองในมุมอื่น ๆ ที่เป็นกลางมากขึ้น
2. เปิดใจพูดคุยกับอีกฝ่าย (Deep Conversation):
- สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา: เมื่อคุณเริ่มตระหนักถึง Trust Issues ของตัวเอง ให้ลองสื่อสารกับคนรักหรือคนใกล้ชิดที่คุณต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งด้วย บอกพวกเขาถึงสิ่งที่คุณกำลังเผชิญ ความกลัวของคุณ และเหตุผลที่มาที่ไป
- ใช้คำว่า “ฉันรู้สึก…”: แทนที่จะกล่าวโทษว่า “คุณทำให้ฉันไม่ไว้ใจ” ลองเปลี่ยนเป็น “ฉันรู้สึกไม่สบายใจเมื่อคุณไม่ตอบข้อความ เพราะฉันเคยมีประสบการณ์ถูกทอดทิ้งในอดีต” การใช้คำว่า “ฉัน” จะช่วยให้การสื่อสารเป็นไปอย่างสร้างสรรค์มากขึ้น
- เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้อธิบาย: เมื่อคุณสื่อสารความรู้สึกของคุณไปแล้ว ให้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูด ได้อธิบายมุมมองของพวกเขา และรับฟังด้วยความเข้าใจ
- สร้างความไว้วางใจทีละน้อย: การสร้าง ความเชื่อใจ เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและต้องเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ลองเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถเชื่อใจกันได้ และค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้นไป
3. ฝึกการให้อภัย: การให้อภัยทั้งผู้อื่นที่เคยทำร้ายคุณ และให้อภัยตัวเองที่แบกรับความเจ็บปวดไว้ เป็นสิ่งสำคัญในการปลดปล่อยพันธนาการทางอารมณ์
เมื่อใดที่คุณควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ?
แม้ว่าการพยายามเยียวยาตัวเองจะเป็นสิ่งที่ดี แต่ในบางกรณี Trust Issues อาจฝังรากลึกและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญถือเป็นทางออกที่สำคัญและมีประสิทธิภาพ
คุณควรพิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหาก:
- Trust Issues ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง: เช่น ไม่สามารถทำงานได้ มีปัญหาสัมพันธ์กับทุกคน หรือมีอาการทางกาย เช่น นอนไม่หลับ วิตกกังวลตลอดเวลา
- มีภาวะทางจิตวิทยาอื่น ๆ ร่วมด้วย: เช่น ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล อาการตื่นตระหนก หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Pistanthrophobia
- ไม่สามารถก้าวข้ามปัญหาได้ด้วยตัวเอง: แม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวงจรของความไม่ไว้วางใจ
- ความสัมพันธ์ของคุณพังทลายลงซ้ำแล้วซ้ำเล่า: และคุณสังเกตเห็นว่าปัญหาเกิดจาก Trust Issues ของคุณเอง
ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถให้ความช่วยเหลือได้ ได้แก่:
- นักจิตวิทยา (Psychologist): สามารถช่วยในการบำบัดด้วยการพูดคุย (Talk Therapy) เช่น CBT (Cognitive Behavioral Therapy) หรือ DBT (Dialectical Behavior Therapy) เพื่อปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับความไม่ไว้วางใจ
- จิตแพทย์ (Psychiatrist): หาก Trust Issues มีความรุนแรงและนำไปสู่ภาวะทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า หรือวิตกกังวลอย่างรุนแรง จิตแพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาควบคู่กับการบำบัด
- ที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์ (Relationship Counselor/Therapist): หากปัญหาเกิดจากการสื่อสารในความสัมพันธ์เป็นหลัก ที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์สามารถช่วยให้คุณและคนรักสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสร้าง ความเชื่อใจ ขึ้นใหม่ร่วมกัน
การขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ แต่เป็นความกล้าหาญและความตั้งใจจริงที่จะเยียวยาตัวเอง เราทุกคนคู่ควรกับความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วย ความไว้วางใจ และความสุขที่ยั่งยืน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับtrust issue คือ
Q:Trust Issues คืออะไร?
A:Trust Issues หมายถึงความไม่สามารถไว้วางใจผู้อื่นได้ง่าย ๆ เนื่องจากประสบการณ์เจ็บปวดในอดีต
Q:สาเหตุของ Trust Issues มาจากอะไร?
A:สาเหตุของ Trust Issues มักมาจากการถูกหักหลัง การถูกทอดทิ้ง หรือการซึมซับจากความสัมพันธ์ในวัยเด็ก
Q:เราจะสามารถเยียวยา Trust Issues ได้อย่างไร?
A:การเยียวยา Trust Issues สามารถเริ่มต้นจากการตระหนักรู้ถึงปัญหาของตนเอง และการสื่อสารอย่างเปิดเผยกับผู้ที่คุณไว้ใจ