ดัชนีดาวโจนส์ คืออะไร? เจาะลึกดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ที่ทุกคนควรรู้
ในโลกของการลงทุนและการติดตามข่าวเศรษฐกิจ ชื่อของ “ดัชนีดาวโจนส์” ถือเป็นสิ่งที่แทบทุกคนต้องเคยได้ยิน ไม่ว่าจะเปิดทีวี ฟังวิทยุ หรือส่องมือถือดูข่าวการเงิน ตัวเลขของดัชนีนี้มักปรากฏอยู่ทุกวัน พร้อมกับคำวิเคราะห์ว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ บวก” หรือ “ร่วงหนัก” แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ดัชนีนี้แท้จริงแล้วคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไรกับตลาดโลก และนักลงทุนไทยอย่างเราควรให้ความสนใจแค่ไหน วันนี้เราจะพาคุณเจาะลึกทุกมิติของดัชนีดาวโจนส์ ตั้งแต่ประวัติ วิธีคำนวณ ผลกระทบ ไปจนถึงช่องทางการลงทุนที่เข้าถึงได้จริง

ดัชนีดาวโจนส์ หรือที่รู้จักกันอย่างเป็นทางการในชื่อ **ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA)** ถือเป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1896 โดยชาร์ลส์ ดาว และเอ็ดเวิร์ด โจนส์ สองผู้บุกเบิกวงการข่าวเศรษฐกิจชาวอเมริกัน จุดประสงค์เดิมคือการสร้างมาตรวัดเพื่อสะท้อนสุขภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านการติดตามหุ้นของบริษัทชั้นนำ
ปัจจุบัน ดัชนีนี้รวบรวมหุ้นของบริษัทใหญ่ระดับแนวหน้าของสหรัฐฯ จำนวน 30 แห่ง ซึ่งถูกเรียกว่า **หุ้นบลูชิพ (Blue-chip Stocks)** — บริษัทที่มีมูลค่าสูง มีชื่อเสียง มั่นคง และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี การเงิน พลังงาน หรือสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งหมดนี้มารวมกันเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านตัวเลขที่ขยับขึ้นลงทุกวัน
สิ่งที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์แตกต่างจากดัชนีอื่น เช่น S&P 500 หรือ Nasdaq Composite คือวิธีการ “ถ่วงน้ำหนัก” โดย DJIA ใช้ระบบ **ถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น (Price-Weighted Index)** แปลว่า บริษัทที่มีราคาหุ้นต่อหน่วยสูง จะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่า แม้ว่าบริษัทนั้นจะมีขนาดโดยรวม (มูลค่าตลาด) เล็กกว่าก็ตาม ตัวอย่างเช่น หุ้นที่ราคา $300 จะมีน้ำหนักมากกว่าหุ้นราคา $30 ถึง 10 เท่า แม้บริษัทหลังอาจมีพนักงานหรือรายได้มากกว่าก็ตาม
จุดนี้เองที่กลายเป็นทั้งจุดแข็งและจุดวิพากษ์ ด้านหนึ่ง ระบบดังกล่าวเรียบง่ายและเข้าใจได้ง่าย แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจบิดเบือนภาพรวมตลาด เพราะไม่สะท้อนขนาดที่แท้จริงของบริษัท ดังนั้น นักลงทุนจึงมักใช้ DJIA ควบคู่กับดัชนีอื่นเพื่อให้ได้มุมมองที่รอบด้านมากขึ้น
เหตุใดดัชนีดาวโจนส์จึงยังคงมีน้ำหนักในตลาดโลก?
แม้เวลาจะผ่านมาเกือบ 130 ปี และมีดัชนีที่ครอบคลุมมากกว่าเกิดขึ้นนับสิบ แต่ดัชนีดาวโจนส์ก็ยังคงถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากทั้งนักลงทุน นักวิเคราะห์ และสื่อทั่วโลก เหตุผลหลักมีดังนี้
- เป็นกระจกสะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ: สหรัฐฯ คือเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก การที่บริษัทระดับยักษ์ใหญ่ 30 แห่ง ซึ่งกระจายอยู่ในหลายภาคส่วน มีผลประกอบการที่ดีหรือไม่ ย่อมสื่อถึงแนวโน้มโดยรวมของประเทศได้ในระดับหนึ่ง ดัชนีที่ปรับตัวสูงขึ้นจึงมักบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่น ส่วนการร่วงลงอาจสะท้อนความไม่แน่นอนหรือวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น
- มีผลต่อจิตวิทยาการลงทุน: ด้วยชื่อเสียงและประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทำให้การเคลื่อนไหวของ DJIA มีผลต่อ “อารมณ์” ของตลาดอย่างมาก เมื่อดาวโจนส์ปิดในแดนบวก แม้เพียงไม่กี่จุด นักลงทุนทั่วโลกก็มักรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น ในทางกลับกัน การร่วงหนักของดัชนีอาจก่อให้เกิดความตื่นตระหนก แม้บางครั้งข่าวร้ายอาจจำกัดอยู่ในบางบริษัทก็ตาม
- เป็นแหล่งอ้างอิงหลักของสื่อ: ไม่ว่าจะเป็น Bloomberg, Reuters, CNBC หรือแม้แต่สำนักข่าวท้องถิ่นในไทย ต่างก็เลือกใช้ดัชนีดาวโจนส์เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดหลักในการรายงานผลการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพราะเรียกได้ในประโยคเดียว และคนส่วนใหญ่เข้าใจทันที ทำให้ชื่อของ DJIA กลายเป็น “ตัวแทน” ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในสายตาของคนทั่วไป

รายชื่อ 30 บริษัทยักษ์ใหญ่ในดัชนีดาวโจนส์ล่าสุด (อัปเดต 2024)
การคัดเลือกบริษัทเข้าสู่ดัชนีดาวโจนส์ไม่ใช่กระบวนการที่เปิดให้เข้ามาได้ทุกเมื่อ แต่เป็นการตัดสินใจโดยคณะกรรมการของ S&P Dow Jones Indices ที่พิจารณาทั้งคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ ความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และความสอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน
รายชื่อเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สะท้อนโลกที่เปลี่ยนไป เช่น การเพิ่มบริษัทเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล หรือลดบทบาทของบริษัทอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่เติบโตช้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นดัชนีที่เก่าแก่ แต่ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง
ด้านล่างนี้คือรายชื่อล่าสุดของบริษัท 30 แห่งที่อยู่ในดัชนี DJIA พร้อมสัญลักษณ์และกลุ่มอุตสาหกรรม
บริษัท (Company) | สัญลักษณ์ (Ticker) | กลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) |
---|---|---|
3M | MMM | อุตสาหกรรม |
American Express | AXP | การเงิน |
Amgen | AMGN | สุขภาพ |
Apple | AAPL | เทคโนโลยีสารสนเทศ |
Boeing | BA | อุตสาหกรรม |
Caterpillar | CAT | อุตสาหกรรม |
Chevron | CVX | พลังงาน |
Cisco Systems | CSCO | เทคโนโลยีสารสนเทศ |
Coca-Cola | KO | สินค้าอุปโภคบริโภค |
Disney | DIS | บริการสื่อสาร |
Dow Inc. | DOW | วัสดุ |
Goldman Sachs | GS | การเงิน |
Home Depot | HD | สินค้าฟุ่มเฟือย |
Honeywell | HON | อุตสาหกรรม |
IBM | IBM | เทคโนโลยีสารสนเทศ |
Intel | INTC | เทคโนโลยีสารสนเทศ |
Johnson & Johnson | JNJ | สุขภาพ |
JPMorgan Chase | JPM | การเงิน |
McDonald’s | MCD | สินค้าฟุ่มเฟือย |
Merck | MRK | สุขภาพ |
Microsoft | MSFT | เทคโนโลยีสารสนเทศ |
Nike | NKE | สินค้าฟุ่มเฟือย |
Procter & Gamble | PG | สินค้าอุปโภคบริโภค |
Salesforce | CRM | เทคโนโลยีสารสนเทศ |
Travelers | TRV | การเงิน |
UnitedHealth Group | UNH | สุขภาพ |
Verizon | VZ | บริการสื่อสาร |
Visa | V | เทคโนโลยีสารสนเทศ |
Walgreens Boots Alliance | WBA | สินค้าอุปโภคบริโภค |
Walmart | WMT | สินค้าอุปโภคบริโภค |

สำหรับนักลงทุนที่สนใจติดตามกลยุทธ์การจัดพอร์ตของสถาบันชั้นนำ บางบริษัทในรายชื่อนี้ เช่น Apple, Microsoft และ Visa ยังเป็นหนึ่งในหุ้นที่ถูกถือครองมากที่สุดในกองทุนต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มการลงทุนระดับโลกอย่าง Moneta Markets ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ที่ให้บริการซื้อขายหุ้นดัชนีดาวโจนส์แบบเรียลไทม์ พร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูง นักลงทุนจำนวนมากใช้ Moneta Markets เพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกและตัดสินใจลงทุนในหุ้นบลูชิพเหล่านี้ได้อย่างมั่นใจ
วิธีคำนวณดัชนีดาวโจนส์ และความแตกต่างจาก S&P 500
การเข้าใจกลไกการคำนวณดัชนี ช่วยให้นักลงทุนไม่ถูกตัวเลขหลอกลวง และสามารถเปรียบเทียบข้อมูลได้อย่างมีเหตุผล ดัชนี DJIA คำนวณจากสูตรง่ายๆ คือ
ค่าดัชนี = (ผลรวมของราคาหุ้น 30 บริษัท) ÷ ตัวหาร (Dow Divisor)
ตัวหารนี้ไม่ใช่ตัวเลขคงที่ แต่จะถูกปรับเมื่อมีเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อราคาหุ้นโดยตรง เช่น การแตกพาร์ (Stock Split) หรือการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของดัชนี เพื่อให้ค่าดัชนีไม่กระโดดผิดธรรมชาติและรักษาระดับความต่อเนื่องไว้
ด้วยระบบ “ถ่วงน้ำหนักตามราคา” ทำให้บริษัทที่มีราคาหุ้นสูง เช่น UnitedHealth Group หรือ Goldman Sachs มักมีอิทธิพลต่อดัชนีมากกว่า Apple หรือ Microsoft ทั้งที่ทั้งสองหลังมีมูลค่าตลาดใหญ่กว่ามาก ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่นักลงทุนควรตระหนัก
ในทางกลับกัน ดัชนี S&P 500 ใช้ระบบ **ถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด (Market Cap-Weighted)** ซึ่งหมายความว่า บริษัทที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Apple หรือ Microsoft จะมีอิทธิพลต่อดัชนีมากที่สุด ทำให้ S&P 500 สะท้อนภาพรวมของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ดีกว่า โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ดัชนีทั้งสองยังถูกใช้ควบคู่กัน เพราะ DJIA ให้ภาพที่ “เข้าใจง่าย” และ “จับต้องได้” ในขณะที่ S&P 500 ให้ข้อมูลที่ “แม่นยำ” และ “ครอบคลุม” มากกว่า
ดัชนีดาวโจนส์ส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยและนักลงทุนอย่างไรบ้าง?
แม้ดัชนีนี้จะวัดจากบริษัทในสหรัฐฯ แต่ผลกระทบของมันรั่วไหลเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย (SET Index) อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผ่านหลายช่องทาง
1. ความสัมพันธ์เชิงบวกกับ SET Index
ในระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยมัก “ตามเทรนด์” ของดาวโจนส์ หากเมื่อคืนที่ผ่านมา DJIA ปิดในแดนบวก ดัชนี SET มีแนวโน้มที่จะเปิดตัวในเช้าวันถัดไปด้วยสีเขียว ทั้งนี้เพราะความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้น และแรงซื้อจากต่างชาติอาจกลับมา
2. กระแสเงินทุนต่างชาติ (Foreign Fund Flow)
นักลงทุนต่างชาติเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อดัชนี SET โดยตรง พวกเขาจะประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนระหว่างตลาดสหรัฐฯ กับตลาดเกิดใหม่ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ แข็งแกร่งและดอกเบี้ยสูง อาจดึงดูดเงินทุนกลับไปยังสหรัฐฯ ทำให้เงินไหลออกจากไทย แต่หากเกิดความผันผวนในสหรัฐฯ ก็อาจทำให้ต่างชาติเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมถึงในไทยด้วย ตามข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การซื้อขายของต่างชาติส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีอย่างมีนัยสำคัญ
3. ผลกระทบทางอ้อมต่อหุ้นกลุ่มส่งออก
สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในตลาดส่งออกสำคัญของไทย บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ หรืออาหารส่งออกไปสหรัฐฯ โดยตรง จะได้รับประโยชน์เมื่อเศรษฐกิจที่นั่นเติบโต ซึ่งสะท้อนจากดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น นั่นหมายถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่ม ความต้องการสินค้าเพิ่ม และผลประกอบการของบริษัทไทยดีตามไปด้วย
ช่องทางการลงทุนในดัชนีดาวโจนส์สำหรับนักลงทุนไทย
นักลงทุนชาวไทยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปสหรัฐฯ หรือมีบัญชีธนาคารต่างประเทศเพื่อเข้าถึงตลาดนี้ ปัจจุบันมีหลายช่องทางที่ปลอดภัยและสะดวก ที่ช่วยให้คุณสามารถกระจายความเสี่ยงและลงทุนในหุ้นระดับโลกได้
1. กองทุนรวมต่างประเทศ (FIF)
เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการความง่าย ไม่ต้องวิเคราะห์เอง โดยกองทุนเหล่านี้บริหารโดย บลจ. ในไทย เช่น บลจ.กรุงศรี หรือ บลจ.ทหารไทย ซึ่งลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ โดยตรงหรือผ่านกองทุน ETF ที่อ้างอิง DJIA ข้อดีคือ ซื้อผ่านแอปธนาคาร ใช้เงินเริ่มต้นต่ำ และมีผู้เชี่ยวชาญดูแล
2. Exchange Traded Fund (ETF)
หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมคือการลงทุนใน SPDR Dow Jones Industrial Average ETF (DIA) ซึ่งเป็น ETF ที่อ้างอิงกับดัชนี DJIA โดยตรง ซื้อขายได้เหมือนหุ้นทั่วไปในตลาดสหรัฐฯ นักลงทุนไทยสามารถซื้อได้ผ่านโบรกเกอร์ในประเทศที่รองรับการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ข้อดีคือ ค่าธรรมเนียมต่ำ ซื้อขายเรียลไทม์ และมีสภาพคล่องสูง ตามข้อมูลจาก State Street Global Advisors DIA เป็นหนึ่งใน ETF ที่เก่าแก่ที่สุดและมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) สูงมาก
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มการลงทุนอย่าง Moneta Markets ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนไทยเข้าถึงการซื้อขายดัชนีดาวโจนส์ในรูปแบบ CFD หรือหุ้นจริง โดยมีเลเวอเรจ ระบบซื้อขายที่เสถียร และข้อมูลวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ ทำให้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นและเครื่องมือครบวงจร
ดัชนีดาวโจนส์ (DJIA) กับ S&P 500 แตกต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างหลักอยู่ที่จำนวนบริษัทและวิธีการถ่วงน้ำหนัก DJIA มีบริษัทเพียง 30 แห่งและถ่วงน้ำหนักตามราคาหุ้น ขณะที่ S&P 500 มี 500 บริษัทและถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด ทำให้ S&P 500 สะท้อนภาพรวมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แม่นยำและครอบคลุมกว่า
การที่ดัชนีดาวโจนส์ “บวก” หรือ “ลบ” เป็นจุด มีความหมายว่าอะไร?
การเปลี่ยนแปลงเป็น “จุด” หมายถึงความต่างของค่าดัชนีเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า เช่น ปิดที่ 35,100 จุด เพิ่มขึ้นจาก 35,000 จุด คือ “บวก 100 จุด” แต่ควรดูทั้งเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงด้วย เพราะจะช่วยให้เข้าใจว่าการขยับนั้น “ใหญ่” แค่ไหนเมื่อเทียบกับระดับดัชนี
นักลงทุนไทยสามารถซื้อหุ้นในดัชนีดาวโจนส์โดยตรงได้หรือไม่?
ได้ โดยการเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ในไทยที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถซื้อหุ้นรายตัว เช่น Apple, Microsoft หรือ Coca-Cola ได้โดยตรงในตลาดสหรัฐฯ หรือผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Moneta Markets ที่รองรับการเทรดแบบเรียลไทม์
ทำไมดัชนีดาวโจนส์ถึงมีแค่ 30 บริษัท แต่ยังคงมีความสำคัญ?
เพราะเป็นดัชนีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 125 ปี และกลายเป็นสัญลักษณ์ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ หุ้นทั้ง 30 ตัวเป็นบริษัทชั้นนำที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจจริง แม้จำนวนน้อย แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็สะท้อนแนวโน้มตลาดได้ในระดับหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงรายชื่อหุ้นในดัชนีดาวโจนส์เกิดขึ้นบ่อยแค่ไหน?
ไม่บ่อยนัก โดยมักเกิดเมื่อบริษัทมีการควบรวมกิจการ หรือคณะกรรมการเห็นว่าบริษัทนั้นไม่สะท้อนภาพเศรษฐกิจยุคใหม่แล้ว จึงมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาความเกี่ยวข้อง โดยเฉลี่ยอาจเกิดขึ้นทุก 2-3 ปี
เราสามารถดูราคาดัชนีดาวโจนส์แบบเรียลไทม์ได้จากที่ไหน?
ได้จากเว็บไซต์ข่าวเศรษฐกิจชั้นนำ เช่น Bloomberg, Reuters, หรือ The Wall Street Journal นอกจากนี้ แอปพลิเคชันการลงทุนส่วนใหญ่ เช่น ของ Moneta Markets หรือแพลตฟอร์มจากโบรกเกอร์ในไทย ก็มีการแสดงข้อมูลดัชนีหลักแบบเรียลไทม์
การขึ้นลงของดาวโจนส์ส่งผลต่อราคาทองคำหรือไม่ อย่างไร?
โดยทั่วไปมีความสัมพันธ์แบบผกผัน เมื่อดาวโจนส์ขึ้น นักลงทุนมีความเชื่อมั่น (Risk-On) จึงอาจขายทองคำเพื่อลงทุนในหุ้น แต่เมื่อดัชนีร่วง นักลงทุนจะหนีไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย (Risk-Off) ทำให้ราคาทองคำมักปรับตัวสูงขึ้น
กองทุนรวมที่อ้างอิงดัชนีดาวโจนส์ในไทยมีกองไหนบ้าง?
มีหลายกองทุน เช่น กองทุน KFDOW จาก บลจ.กรุงศรี หรือ TMB-ES-DOWJONES จาก บลจ.ทหารไทย ซึ่งลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ หรือผ่าน ETF ที่อ้างอิง DJIA อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบนโยบายการลงทุนและหนังสือชี้ชวนก่อนตัดสินใจเสมอ