ทำความเข้าใจ ETF ใน 5 นาที เมื่อลงทุนต้องรู้

สารบัญ

ETF คืออะไร? เข้าใจพื้นฐานในไม่กี่นาที

ETF หรือที่รู้จักในชื่อเต็มว่า Exchange Traded Fund คือผลิตภัณฑ์การลงทุนที่รวมจุดเด่นของทั้ง “กองทุนรวม” และ “หุ้น” เข้าไว้ด้วยกัน โดยเป็นกองทุนที่ถูกซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แบบเรียลไทม์ คล้ายกับการซื้อขายหุ้นรายตัว แต่ในตัวมันเองกลับกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์หลายชนิด ทำให้ผู้ลงทุนสามารถถือ “ตะกร้าสินทรัพย์” ได้เพียงแค่ซื้อหน่วยลงทุนเพียงครั้งเดียว

ลองนึกภาพว่าคุณอยากลงทุนในหุ้น 50 ตัวชั้นนำของตลาดหลักทรัพย์ไทยที่อยู่ในดัชนี SET50 ถ้าจะซื้อทีละบริษัท คุณต้องใช้เวลา แรงงาน และต้นทุนค่อนข้างสูง แต่ด้วย ETF ที่ติดตามดัชนี SET50 เพียงหน่วยเดียว คุณก็สามารถครอบครองสัดส่วนของหุ้นทั้ง 50 ตัวนั้นได้ทันที โดยไม่ต้องจัดการเอง เพราะบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จะเป็นผู้ดูแลให้สัดส่วนการลงทุนใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงอยู่เสมอ

illustration showing ETF components

กลไกการทำงานของ ETF ที่คุณควรรู้ก่อนลงทุน

หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ราคาของ ETF เคลื่อนไหวใกล้เคียงกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ (NAV) คือกลไก “สร้าง” (Creation) และ “ไถ่ถอน” (Redemption) ที่ทำงานเบื้องหลัง ซึ่งทำให้อุปสงค์และอุปทานของหน่วยลงทุนในตลาดมีความสมดุล

กระบวนการนี้ขับเคลื่อนโดยสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่เรียกว่า Authorized Participants (APs) หรือ “ผู้ดูแลสภาพคล่อง” เมื่อมีความต้องการซื้อ ETF ในตลาดเพิ่มขึ้น AP จะรวบรวมสินทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้นในดัชนี SET50 ครบตามสัดส่วน แล้วนำไปแลกเปลี่ยนกับ บลจ. เพื่อสร้าง “หน่วยลงทุน ETF ใหม่” จากนั้นจึงนำหน่วยเหล่านี้มาขายในตลาดหุ้น ตรงกันข้าม หากมีการขาย ETF ออกมามากกว่าความต้องการ ผู้ดูแลสภาพคล่องก็จะซื้อหน่วยลงทุนในตลาด แล้วนำกลับไปไถ่ถอนกับ บลจ. เพื่อรับสินทรัพย์อ้างอิงคืน กลไกนี้ช่วยดึงราคา ETF กลับมายังมูลค่าที่แท้จริงเสมอ

นอกจากหุ้นในดัชนีแล้ว ETF ยังสามารถติดตามสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท ได้แก่:

  • ดัชนีหุ้นต่างประเทศ: เช่น S&P 500 ของสหรัฐอเมริกา หรือดัชนี CSI 300 ของจีน
  • ดัชนีตราสารหนี้: เช่น ดัชนีพันธบัตรรัฐบาล ที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการความมั่นคง
  • สินค้าโภคภัณฑ์: อย่างทองคำหรือน้ำมัน ที่ช่วยกระจายความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในไทยคือ TDEX (Bualuang SET50 ETF) ซึ่งออกแบบมาเพื่อสร้างผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี SET50 ที่สุด นับเป็นหนึ่งใน ETF ที่มีสภาพคล่องสูงและเป็นที่นิยมในกลุ่มนักลงทุน

เปรียบเทียบชัดเจน: ETF vs กองทุนรวม vs หุ้นรายตัว

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การเลือกช่องทางลงทุนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ความรู้ และเวลาที่มี ด้านล่างนี้คือตารางเปรียบเทียบรายละเอียดสำคัญของ ETF, กองทุนรวม และหุ้นรายตัว เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ประเด็น ETF กองทุนรวม หุ้นรายตัว
วิธีการซื้อขาย ซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ในตลาดหุ้นแบบเรียลไทม์ รู้ราคาทันที สั่งซื้อผ่าน บลจ. หรือช่องทางดิจิทัล ได้ราคาท้ายวันทำการ (T+1) ซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ในตลาดหุ้นแบบเรียลไทม์
ค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมการจัดการต่ำ + ค่าคอมมิชชันจากการซื้อขาย ค่าธรรมเนียมสูงกว่า + อาจมีค่าธรรมเนียมซื้อ-ขาย (Front-end/Back-end) ค่าคอมมิชชันจากการซื้อขายเท่านั้น
การกระจายความเสี่ยง สูงมาก ลงทุนในหลายสินทรัพย์พร้อมกัน สูง ขึ้นอยู่กับนโยบายของกองทุน ต่ำ เสี่ยงสูงหากบริษัทเดียวเกิดปัญหา
สภาพคล่อง สูง สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาทำการตลาดหุ้น ต่ำกว่า เพราะทำรายการได้ทุกวันทำการ แต่ได้ราคาท้ายวัน ขึ้นอยู่กับปริมาณการซื้อขายของแต่ละหุ้น
เงินลงทุนขั้นต่ำ เริ่มต้นที่ราคา 100 หน่วย (Board Lot) บางกองเริ่มต้นเพียง 1 บาท เริ่มต้นที่ราคา 100 หุ้น

สรุป: ETF เหมาะกับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการซื้อขายพร้อมการกระจายความเสี่ยงในราคาที่ประหยัด กองทุนรวม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวางเงินให้ผู้จัดการลงทุนดูแลโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการติดตามราคา ส่วน หุ้นรายตัว เหมาะกับผู้ที่มีความรู้เฉพาะด้านและยอมรับความผันผวนสูงได้

ข้อดี-ข้อเสียของการลงทุนใน ETF ที่ควรพิจารณาให้รอบด้าน

แม้ ETF จะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือลงทุนที่เข้าถึงง่ายและมีความยืดหยุ่น แต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ไร้ข้อจำกัด การเข้าใจทั้งข้อดีและข้อเสียจะช่วยให้ตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น

จุดเด่นที่ทำให้ ETF น่าสนใจ

  • กระจายความเสี่ยงได้ดี: การลงทุนเพียงหน่วยเดียวสามารถครอบคลุมสินทรัพย์หลายตัว ช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง
  • ค่าใช้จ่ายต่ำ: เนื่องจาก ETF ส่วนใหญ่จัดการแบบเชิงรับ (Passive) คือเลียนแบบดัชนีโดยตรง จึงมีค่าธรรมเนียมการบริหารที่ต่ำกว่ากองทุนรวมเชิงรุก
  • โปร่งใสสูง: ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อสินทรัพย์และน้ำหนักการถือครองได้ทุกวันผ่านเว็บไซต์ของ บลจ. ทำให้รู้ว่าเงินของตัวเองถูกลงทุนที่ไหน
  • ซื้อขายได้ทันที: สามารถปรับพอร์ตได้ทันตามสถานการณ์ตลาด เพราะซื้อขายได้ตลอดเวลาที่ตลาดเปิด ไม่ต้องรอถึงวันถัดไป

ข้อควรระวังและข้อเสียของ ETF

  • ความคลาดเคลื่อนจากดัชนี (Tracking Error): เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารหรือช่วงเวลาการปรับพอร์ต ทำให้ผลตอบแทนอาจไม่ตรงกับดัชนีอ้างอิงเป๊ะ 100%
  • ค่าคอมมิชชันซื้อขาย: ทุกครั้งที่ซื้อหรือขาย นักลงทุนต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับโบรกเกอร์ เช่นเดียวกับการซื้อหุ้น
  • เสี่ยงตามแนวโน้มตลาด: ถึงจะกระจายความเสี่ยงแล้วก็ตาม หากตลาดโดยรวมตก ค่า NAV ของ ETF ก็จะลดตามไปด้วย
  • สภาพคล่องต่ำในบางกองทุน: ETF ที่มีปริมาณการซื้อขายไม่มากอาจทำให้เกิดส่วนต่างราคาเสนอซื้อ-เสนอขาย (Bid-Ask Spread) ที่กว้าง ทำให้ซื้อหรือขายได้ในราคาไม่ดี
illustration of ETF benefits

ETF ในไทย มีอะไรบ้าง? แนะนำตัวเลือกที่น่าจับตา

ตลาด ETF ของไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของจำนวนกองทุนและมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ นักลงทุนสามารถเลือกซื้อ ETF ได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในประเทศ ต่างประเทศ พันธบัตร หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มหลักได้ 3 ประเภท

  • Equity ETF: ติดตามดัชนีหุ้น เช่น SET50, SET100 หรือหุ้นในประเทศเกิดใหม่
  • Bond ETF: ลงทุนในตราสารหนี้ อย่างพันธบัตรรัฐบาล ที่ให้ผลตอบแทนเสถียร
  • Commodity ETF: ติดตามราคาทองคำหรือพลังงาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการสำรวจตัวเลือกทั้งหมด สามารถดูข้อมูลครบถ้วนได้ที่ เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ด้านล่างนี้คือรายชื่อ ETF ที่มีการซื้อขายค่อนข้างคล่องตัวและได้รับความสนใจสูง

ชื่อย่อ ชื่อเต็ม สินทรัพย์อ้างอิง บลจ.
TDEX Bualuang SET50 ETF ดัชนี SET50 บลจ.บัวหลวง
BMSCITH Bualuang MSCI Thailand ETF ดัชนี MSCI Thailand บลจ.บัวหลวง
1DIV ONE-SET High Dividend 30 ETF ดัชนี SET High Dividend 30 บลจ.วรรณ
CHINA Bualuang China Equity ETF ดัชนี CSI 300 บลจ.บัวหลวง
E1VFVN3001 Thai-VN30 ETF ดัชนี VN30 ของเวียดนาม บลจ.วรรณ

สำหรับนักลงทุนที่สนใจตลาดโลก อาจพิจารณา ETF ที่ให้การเข้าถึงประเทศเกิดใหม่หรือภูมิภาคที่มีศักยภาพสูง เช่น จีน เวียดนาม หรืออินเดีย ซึ่งหลายบริษัท บลจ. ร่วมมือกับผู้ให้บริการระดับโลก เช่น Moneta Markets เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์นักลงทุนไทยที่ต้องการขยายการลงทุนข้ามประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีซื้อ ETF แบบมือใหม่ก็ทำได้

คำถามที่พบบ่อยที่สุดจากมือใหม่คือ “etf ซื้อยังไง” หรือ “กองทุน etf ซื้อที่ไหน” ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้ซับซ้อนเลย เพราะการซื้อขาย ETF เหมือนกับการซื้อหุ้นทั่วไป เพียงทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

ขั้นตอนที่ 1: เปิดบัญชีซื้อขายกับโบรกเกอร์

ก่อนซื้อ ETF คุณต้องมีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาต หรือที่เรียกว่า “โบรกเกอร์” ตัวอย่างบริษัทชั้นนำที่เปิดให้บริการ เช่น บล.บัวหลวง, บล.กสิกรไทย, บล.ไทยพาณิชย์ หรือโบรกเกอร์ออนไลน์ที่มีแพลตฟอร์มทันสมัย คุณสามารถตรวจสอบรายชื่อทั้งหมดได้ที่ เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ฯ

ขั้นตอนที่ 2: ฝากเงินเข้าพอร์ต

หลังจากเปิดบัญชีเรียบร้อย คุณต้องเติมเงินเข้าบัญชีซื้อขายผ่านช่องทางที่โบรกเกอร์กำหนด เช่น Mobile Banking, Internet Banking หรือระบบ Bill Payment โดยแต่ละบริษัทจะมีขั้นตอนและช่องทางการโอนที่แตกต่างกันเล็กน้อย

ขั้นตอนที่ 3: ซื้อผ่านแอป Streaming

เมื่อมีเงินในพอร์ตแล้ว คุณสามารถใช้แอปพลิเคชัน Streaming ของโบรกเกอร์ในการส่งคำสั่งซื้อขายได้ทันที

illustration of ETF trading process
  1. ค้นหา ETF: ไปที่หน้า “ซื้อขาย” แล้วพิมพ์ชื่อย่อของ ETF ที่ต้องการ เช่น “TDEX”
  2. กรอกจำนวนและราคา:
    • Volume: ระบุจำนวนหน่วยที่ต้องการซื้อ โดยต้องเป็นจำนวนที่หารด้วย 100 ลงตัว (Board Lot)
    • Price: ใส่ราคาที่ต้องการ หรือเลือก “MP” (Market Price) เพื่อซื้อทันทีในราคาตลาด หรือตั้งคำสั่ง “Limit Order” หากต้องการรอราคาที่ตั้งไว้
  3. ยืนยันคำสั่ง: ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง กด “Buy” แล้วใส่ PIN เพื่อยืนยัน การซื้อขายจะสำเร็จทันทีที่มีผู้ขายที่ราคาตรงกัน

เมื่อคำสั่งซื้อ Match แล้ว หน่วยลงทุนจะเข้าพอร์ตของคุณทันที และคุณสามารถตรวจสอบได้ผ่านแอปพลิเคชัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ETF (FAQ)

ETF มีการจ่ายเงินปันผลหรือไม่?

มี ETF บางกองทุนที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล โดยจะรวบรวมเงินปันผลที่ได้รับจากหุ้นที่ถือครองอยู่มาจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ ETF ทุกตัวที่จะจ่ายปันผล นักลงทุนต้องตรวจสอบนโยบายของแต่ละกองทุนจากหนังสือชี้ชวน (Fund Fact Sheet) ก่อนลงทุน

นักลงทุนมือใหม่ควรเลือกซื้อ ETF ตัวไหนดี?

สำหรับผู้เริ่มต้น การเลือก ETF ที่อ้างอิงดัชนีตลาดกว้างๆ เช่น SET50 (TDEX) หรือ SET100 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะมีความเสี่ยงกระจายตัวสูงและเข้าใจง่าย เมื่อมีความเข้าใจมากขึ้นจึงค่อยพิจารณา ETF ที่อ้างอิงดัชนีเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมหรือดัชนีต่างประเทศต่อไป

การลงทุนใน ETF ต้องใช้เงินเริ่มต้นเท่าไหร่?

เงินลงทุนขั้นต่ำในการซื้อ ETF คือราคาต่อหน่วยคูณด้วย 100 (Board Lot) ตัวอย่างเช่น หาก ETF ตัวหนึ่งราคา 10 บาทต่อหน่วย เงินลงทุนขั้นต่ำคือ 10 x 100 = 1,000 บาท (ยังไม่รวมค่าคอมมิชชัน)

ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่าง ETF และกองทุนรวมคืออะไร?

ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ “วิธีการซื้อขาย” และ “ราคา” โดย ETF ซื้อขายได้แบบเรียลไทม์ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ เหมือนหุ้น ทำให้รู้ราคาซื้อขายได้ทันที ในขณะที่กองทุนรวมจะซื้อขายได้เพียงวันละ 1 ครั้ง และจะทราบราคา (NAV) ณ สิ้นวันทำการ

ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนใน ETF มีอะไรบ้าง?

ตามข้อมูลจาก บทความสรุปเรื่องภาษีการลงทุน กำไรจากการขาย ETF ในตลาดหลักทรัพย์ (Capital Gain) ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา เช่นเดียวกับหุ้น แต่เงินปันผลที่ได้รับจาก ETF จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%

ถ้าขาย ETF จะได้รับเงินเข้าบัญชีภายในกี่วัน?

การชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ในประเทศไทยใช้ระบบ T+2 หมายความว่าหลังจากวันที่คุณขาย ETF (วันที่ T) คุณจะได้รับเงินเข้าบัญชีในอีก 2 วันทำการถัดไป (T+2)

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *