เรียนรู้เกี่ยวกับ Option พร้อมกลยุทธ์การลงทุนที่ชาญฉลาดในตลาดสมัยใหม่

สารบัญ

Option คืออะไร? เข้าใจพื้นฐานให้ลึกตั้งแต่ก้าวแรก

สำหรับผู้เริ่มต้นลงทุนหลายคน คำว่า “Option” หรือ “ออปชัน” อาจฟังดูซับซ้อน เหมือนเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ใช้เฉพาะนักลงทุนระดับสูง แต่แท้จริงแล้ว แก่นแท้ของ Option นั้นเรียบง่ายกว่าที่คิดมาก หากจะอธิบายให้เข้าใจในแบบที่ไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิค Option คือ “สัญญา” ที่มอบ “สิทธิ” ให้คุณสามารถซื้อหรือขายสินทรัพย์บางอย่างในอนาคต ด้วยราคาและช่วงเวลาที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า

สิ่งที่ต้องย้ำเสมอคือ Option คือ “สิทธิ” ไม่ใช่ “หน้าที่” สำหรับผู้ซื้อ นั่นหมายความว่า ถ้าสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย คุณสามารถเลือกไม่ใช้สิทธินั้นได้ และสูญเสียเพียงแค่เงินที่จ่ายไปในตอนต้น หรือที่เรียกว่า “ค่าพรีเมียม” เท่านั้น ความยืดหยุ่นนี้เองที่ทำให้ Option ต่างจากสัญญาลักษณะอื่น เช่น Futures ที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องปฏิบัติตามสัญญาเมื่อถึงกำหนด ไม่มีทางเลือก

สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับ Option นั้นมีหลากหลาย ตั้งแต่หุ้นเดี่ยว ดัชนีอย่าง SET50 สกุลเงิน ไปจนถึงสินค้าโภคภัณฑ์ การเข้าใจพื้นฐานของ Call Put Option คือ จุดเริ่มต้นสำคัญที่จะเปิดประตูสู่โลกการลงทุนที่สามารถทำกำไรได้ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร และยังเป็นเครื่องมือชั้นยอดในการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน ไม่ว่าคุณจะเน้นเก็งกำไรหรือป้องกันความเสี่ยง ก็สามารถใช้ Option ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาพประกอบพื้นฐานการซื้อขายออปชัน แสดงแนวคิดของสิทธิในการซื้อและขายสินทรัพย์ในอนาคต

สองประเภทหลักที่ต้องรู้: Call Option และ Put Option

ในตลาด Option ทุกสัญญาจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิง คล้ายกับด้านตรงข้ามของเหรียญเดียวกัน การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Call และ Put จึงเป็นก้าวแรกที่จำเป็นก่อนจะไปต่อยอดในกลยุทธ์ที่ซับซ้อน

  • Call Option (คอลออปชัน): ให้สิทธิในการ “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต
  • Put Option (พุทออปชัน): ให้สิทธิในการ “ขาย” สินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต

เพียงจำไว้ว่า “Call คือสิทธิซื้อ” และ “Put คือสิทธิขาย” คุณก็เข้าใจแกนหลักของออปชันแล้วกว่าครึ่งหนึ่ง จากนี้ไป เราจะมาดูว่าแต่ละประเภททำงานอย่างไร และเหมาะกับมุมมองทางการลงทุนแบบไหน

Call Option คืออะไร? เมื่อคุณเชื่อว่าราคาจะขึ้น

Call Option คือ สัญญาที่ให้ “สิทธิ” แก่ผู้ถือ (หรือผู้ซื้อ) ในการ “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิงที่ระดับราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า (เรียกว่า ราคาใช้สิทธิ หรือ Strike Price) ก่อนหรือในวันหมดอายุ

โดยทั่วไป นักลงทุนจะเลือกซื้อ Call Option เมื่อเชื่อว่าราคาของสินทรัพย์จะ “เพิ่มขึ้น” ในอนาคต กลไกคล้ายกับการจองสินค้าล่วงหน้า หากวันหน้าราคาสินค้าพุ่งสูง คุณก็ยังซื้อได้ในราคาเดิมที่ถูกลง แล้วนำไปขายต่อเพื่อทำกำไรจากส่วนต่าง

ตัวอย่างเข้าใจง่าย: สมมติว่าหุ้น A ราคาอยู่ที่ 100 บาท และคุณคาดว่าภายใน 1 เดือน จะพุ่งไปที่ 120 บาท แต่คุณไม่อยากจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อหุ้นทันที คุณจึงซื้อ Call Option ที่ให้สิทธิซื้อหุ้น A ที่ราคา 105 บาท หากครบ 1 เดือนแล้วราคาหุ้นจริงๆ ขึ้นไปที่ 120 บาท คุณก็สามารถใช้สิทธิซื้อหุ้นในราคา 105 บาท แล้วขายในตลาดทันที ทำกำไรต่าง 15 บาทต่อหุ้น

Put Option คืออะไร? เมื่อคุณกลัวว่าราคาจะร่วง

Put Option คือ สัญญาที่ให้ “สิทธิ” แก่ผู้ถือ (ผู้ซื้อ) ในการ “ขาย” สินทรัพย์อ้างอิงที่ราคาใช้สิทธิที่กำหนดไว้ ก่อนหรือในวันหมดอายุ

ในทางตรงกันข้ามกับ Call Option นักลงทุนซื้อ Put Option เมื่อคาดว่าราคาจะ “ลดลง” หรือต้องการ “ป้องกันความเสี่ยง” ให้กับสินทรัพย์ที่ถืออยู่ กลไกนี้เหมือนการซื้อประกันภัย หากมูลค่าของสินทรัพย์ร่วงลง คุณยังสามารถขายออกได้ในราคาที่สูงกว่า ช่วยจำกัดความเสียหาย

ตัวอย่างเข้าใจง่าย: สมมติคุณถือหุ้น B อยู่ที่ราคา 200 บาท แต่กังวลว่าอาจมีข่าวร้ายในอีก 3 เดือนข้างหน้า คุณจึงซื้อ Put Option ที่ให้สิทธิขายหุ้น B ที่ราคา 195 บาท หากหุ้นร่วงเหลือ 150 บาทจริง คุณยังสามารถใช้สิทธิขายที่ 195 บาท ช่วยให้ขาดทุนน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ

ภาพเปรียบเทียบ Call และ Put Option แสดงทิศทางการคาดการณ์ราคาและความสัมพันธ์กับสิทธิในการซื้อหรือขาย

องค์ประกอบสำคัญที่ต้องรู้ก่อนเริ่มเทรด Option

ก่อนจะลงมือซื้อขาย Option สิ่งแรกที่ควรเข้าใจคือคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในสัญญา ซึ่งจะช่วยให้คุณอ่านตารางราคา (Option Chain) ได้อย่างมืออาชีพ และตัดสินใจลงทุนได้อย่างแม่นยำ

สินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset)

คือสินทรัพย์ที่ออปชันนั้นอิงอยู่ เช่น หุ้นตัวเดียว ดัชนี SET50 ซึ่งเทรดในตลาด TFEX สกุลเงิน หรือแม้แต่ทองคำ การเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์อ้างอิงนี้คือปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลกำไรหรือขาดทุนของคุณ

ภาพแสดงแนวคิดสินทรัพย์อ้างอิงในออปชัน ว่าคือสิ่งที่สัญญาอิงตามเพื่อใช้ในการตัดสินใจซื้อขาย

ราคาใช้สิทธิ (Strike Price)

คือราคาที่ระบุไว้ในสัญญา ซึ่งผู้ถือออปชันสามารถใช้สิทธิ “ซื้อ” (สำหรับ Call) หรือ “ขาย” (สำหรับ Put) ได้ แม้ว่าราคาตลาดจะเปลี่ยนไป แต่ราคาใช้สิทธินี้จะคงที่ตลอดอายุสัญญา นักลงทุนสามารถเลือกตามกลยุทธ์ เช่น ต้องการความมั่นใจสูง (ITM), ต้นทุนต่ำ (OTM) หรือสมดุล (ATM)

วันหมดอายุ (Expiration Date)

คือวันสุดท้ายที่สามารถใช้สิทธิในสัญญาออปชันได้ หากเลยวันนี้ไป ตัวสัญญาจะหมดค่าทันที เวลาจึงเป็น “ศัตรู” ของผู้ซื้อออปชัน เพราะมูลค่าของสิทธิจะลดลงเรื่อย ๆ ทุกวัน (Time Decay) ยิ่งใกล้วันหมดอายุ โอกาสที่ราคาจะเคลื่อนไหวมากพอให้ทำกำไรได้ก็ยิ่งลดลง

ค่าพรีเมียม (Premium)

ค่าพรีเมียม คือ ราคาที่ผู้ซื้อต้องจ่ายให้กับผู้ขายเพื่อแลกกับ “สิทธิ” นั้น เปรียบเสมือนต้นทุนของการ “จองสิทธิ” ค่าพรีเมียมไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ราคาตลาดปัจจุบัน เวลาที่เหลือ และความผันผวน (Volatility) ของสินทรัพย์อ้างอิง

ผู้เล่นในตลาด Option: ผู้ซื้อ vs ผู้ขาย

ตลาดออปชันมีสองฝ่ายหลัก คือ ผู้ซื้อ (Long) และผู้ขาย (Short) แต่ละฝ่ายมีบทบาท ความเสี่ยง และเป้าหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ผู้ซื้อออปชัน (Long Position)

ผู้ซื้อคือผู้ “จ่ายค่าพรีเมียม” เพื่อรับ “สิทธิ” ในการซื้อ (Long Call) หรือขาย (Long Put) สินทรัพย์อ้างอิง

  • เป้าหมาย: คาดการณ์ทิศทางราคาอย่างแม่นยำเพื่อให้มูลค่าของสิทธิที่ซื้อเพิ่มขึ้น และสามารถปิดสถานะเพื่อทำกำไรได้
  • กำไร/ขาดทุน: ผู้ซื้อมีโอกาสทำ กำไรได้ไม่จำกัด (เช่น หุ้นพุ่งสูงมาก) แต่ ขาดทุนสูงสุดเท่ากับค่าพรีเมียม เท่านั้น หากคาดการณ์ผิด ก็แค่ปล่อยให้สัญญาหมดอายุไป

ผู้ขายออปชัน (Short Position)

ผู้ขาย หรือที่เรียกว่า “ผู้เขียนออปชัน” (Option Writer) คือผู้ที่ “รับเงินค่าพรีเมียม” จากผู้ซื้อ และต้องรับ “ภาระผูกพัน” ในการทำตามสัญญา หากผู้ซื้อตัดสินใจใช้สิทธิ

  • เป้าหมาย: หวังว่าผู้ซื้อจะ “ไม่ใช้สิทธิ” เพราะสินทรัพย์ไม่เคลื่อนไหวตามที่คาด ทำให้ผู้ขายเก็บค่าพรีเมียมเป็นกำไรเต็มจำนวน
  • กำไร/ขาดทุน: กำไรสูงสุดของผู้ขายคือ ค่าพรีเมียมที่ได้รับ แต่ มีความเสี่ยงขาดทุนไม่จำกัด หากตลาดเคลื่อนไหวแรงตรงข้ามกับที่คาดไว้

ตารางเปรียบเทียบ 4 สถานะพื้นฐานของ Option

เพื่อให้เห็นภาพรวมของแต่ละสถานะอย่างชัดเจน ด้านล่างนี้คือตารางเปรียบเทียบ 4 สถานะพื้นฐานของ Option ที่นักลงทุนควรเข้าใจ

สถานะ (Position) มุมมองต่อตลาด กำไรสูงสุด ขาดทุนสูงสุด เป้าหมายหลัก
Long Call (ซื้อสิทธิซื้อ) คาดว่าราคาจะขึ้นแรง ไม่จำกัด จำกัด (เท่ากับค่า Premium) ทำกำไรจากราคาขาขึ้น
Short Call (ขายสิทธิซื้อ) คาดว่าราคาจะไม่ขึ้น (ลงหรือทรงตัว) จำกัด (เท่ากับค่า Premium) ไม่จำกัด เก็บค่า Premium เป็นกำไร
Long Put (ซื้อสิทธิขาย) คาดว่าราคาจะลงแรง เกือบไม่จำกัด (จนกว่าราคาจะเหลือ 0) จำกัด (เท่ากับค่า Premium) ทำกำไรจากราคาขาลง หรือป้องกันความเสี่ยง
Short Put (ขายสิทธิขาย) คาดว่าราคาจะไม่ลง (ขึ้นหรือทรงตัว) จำกัด (เท่ากับค่า Premium) เกือบไม่จำกัด (จนกว่าราคาจะเหลือ 0) เก็บค่า Premium เป็นกำไร หรือต้องการซื้อหุ้นที่ราคาต่ำกว่าตลาด

ตัวอย่างการใช้งานจริงของ Call และ Put Option

เพื่อให้เห็นภาพการทำงานของ Call Put Option คือ อะไรในชีวิตจริง ลองพิจารณา 2 สถานการณ์จำลองด้านล่าง

สถานการณ์ที่ 1: นาย A เชื่อว่าหุ้น XYZ จะขึ้น (ซื้อ Call Option)

  • ข้อมูล: ราคาหุ้น XYZ อยู่ที่ 50 บาท/หุ้น
  • การกระทำ: นาย A คาดว่าราคาจะขึ้นไปที่ 60 บาทใน 1 เดือน จึงซื้อ Long Call Option 1 สัญญา (1 สัญญา = 100 หุ้น)
    • Strike Price: 52 บาท
    • วันหมดอายุ: 1 เดือน
    • Premium: 2 บาท/หุ้น (รวม 200 บาท)
  • ผลลัพธ์:
    • กรณีที่ 1 (ถูกต้อง): ราคาหุ้นขึ้นไปที่ 60 บาท นาย A ใช้สิทธิซื้อหุ้นที่ 52 บาท แล้วขายในตลาดที่ 60 บาท กำไร 8 บาท/หุ้น หักต้นทุน 2 บาท เหลือกำไรสุทธิ 6 บาท/หุ้น หรือ 600 บาทต่อสัญญา
    • กรณีที่ 2 (ผิด): ราคาหุ้นยังคงที่หรือต่ำกว่า 52 บาท นาย A ไม่ใช้สิทธิ ขาดทุนเพียง 200 บาทที่จ่ายเป็นค่าพรีเมียม

สถานการณ์ที่ 2: นาง B กลัวว่าหุ้น XYZ จะร่วง (ซื้อ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยง)

  • ข้อมูล: นาง B ถือหุ้น XYZ อยู่ 100 หุ้น ที่ราคา 50 บาท/หุ้น
  • การกระทำ: เธอซื้อ Long Put Option 1 สัญญา
    • Strike Price: 48 บาท
    • วันหมดอายุ: 1 เดือน
    • Premium: 1.50 บาท/หุ้น (รวม 150 บาท)
  • ผลลัพธ์:
    • กรณีที่ 1 (ราคาลง): ราคาหุ้นร่วงเหลือ 40 บาท นาง B ใช้สิทธิขายที่ 48 บาท ช่วยลดขาดทุนอย่างมีนัยสำคัญ
    • กรณีที่ 2 (ราคาขึ้น): ราคาหุ้นขึ้นไปที่ 55 บาท นาง B ไม่ใช้สิทธิ แต่ขายในตลาดได้ราคาดี ขาดทุนเพียง 150 บาทจากค่าพรีเมียม

ทำไมควรเทรด Option? ข้อดีและข้อควรระวัง

Option เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในหมู่นักลงทุนที่มองหาความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการบริหารพอร์ต อย่างไรก็ตาม ทุกโอกาสย่อมมาพร้อมความเสี่ยงที่ต้องเข้าใจให้ดี

ข้อดีของ Option

  1. ใช้ทุนน้อย แต่ได้ผลตอบแทนสูง (Leverage): การซื้อออปชันใช้เงินเพียงส่วนน้อยของมูลค่าสินทรัพย์ แต่ได้รับผลตอบแทนจากส่วนต่างเต็มจำนวน ทำให้ ROI สูงมาก เช่น ลงทุน 200 บาท อาจได้กำไรหลายพัน
  2. บริหารความเสี่ยงได้ดี (Hedging): ดังตัวอย่างของนาง B การถือ Put Option เหมือนมี “ประกัน” สำหรับพอร์ตลงทุน ช่วยจำกัดขาดทุนเมื่อตลาดแย่ลง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนมืออาชีพและ สถาบันการเงินชั้นนำ ใช้กันอย่างแพร่หลาย
  3. กลยุทธ์หลากหลาย: Option ไม่ได้มีไว้แค่เก็งทิศทางราคา แต่ยังสามารถผสมผสาน Call, Put, Strike และ Expiry ที่ต่างกัน เพื่อสร้างกลยุทธ์เฉพาะตัว เช่น เก็งกำไรในตลาดนิ่ง (Range-Bound) หรือรับมือกับความผันผวนสูง

ความเสี่ยงที่ต้องระวัง

  • สูญเสียค่าพรีเมียมทั้งหมด: หากผู้ซื้อคาดการณ์ผิด หรือไม่มีแรงกระตุ้นเพียงพอ ค่าพรีเมียมอาจสูญหายหมดเมื่อสัญญาหมดอายุ
  • ขาดทุนไม่จำกัดสำหรับผู้ขาย: ผู้ขายออปชัน โดยเฉพาะ Short Call หรือ Short Put เสี่ยงขาดทุนมหาศาลหากตลาดเคลื่อนไหวแรงผิดคาด
  • ความซับซ้อน: ราคาออปชันไม่ขึ้นกับราคาสินทรัพย์เพียงอย่างเดียว แต่ยังถูกกระทบโดยเวลา ความผันผวน และอัตราดอกเบี้ย ต้องใช้ความรู้ระดับสูงในการวิเคราะห์

สรุป: Call Put Option เหมาะกับใคร?

โดยรวมแล้ว Call Put Option คือ เครื่องมือทางการเงินที่ทรงพลัง ใช้ได้ทั้งในการเก็งกำไร สร้างรายได้จากค่าพรีเมียม (Premium) และป้องกันความเสี่ยง ช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับมุมมองและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

อย่างไรก็ตาม Option ไม่ใช่เครื่องมือสำหรับทุกคน มันเหมาะกับผู้ที่

  • เข้าใจกลไกและโครงสร้างของผลิตภัณฑ์อย่างถ่องแท้
  • ยอมรับความเสี่ยงที่อาจสูญเสียเงินทั้งหมดได้ (เฉพาะฝั่งผู้ซื้อ)
  • มีวินัยทางการเงินและสามารถควบคุมความเสี่ยงได้อย่างเข้มงวด (โดยเฉพาะฝั่งผู้ขาย)
  • ต้องการเครื่องมือที่ยืดหยุ่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุน

สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มจากการศึกษาข้อมูลจากแหล่งน่าเชื่อถือ เช่น SET investnow หรือเว็บไซต์ของ TFEX และใช้บัญชีจำลอง (Demo Account) จากโบรกเกอร์อย่าง Moneta Markets เพื่อทดลองกลยุทธ์โดยไม่ต้องเสี่ยงกับเงินจริง นี่คือวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการเรียนรู้การเทรด Option อย่างมีประสิทธิภาพ

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Call Option กับ Put Option ต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างหลักคือ Call Option ให้ “สิทธิในการซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่คาดว่าราคาจะปรับตัว “ขึ้น” ในขณะที่ Put Option ให้ “สิทธิในการขาย” สินทรัพย์อ้างอิง เหมาะสำหรับผู้ที่คาดว่าราคาจะปรับตัว “ลง” หรือต้องการป้องกันความเสี่ยงขาลงให้กับพอร์ต

ค่า Premium Option คืออะไร ใครเป็นคนจ่าย?

ค่า Premium คือ ราคาหรือต้นทุนของสัญญา Option โดย “ผู้ซื้อ” (Long Position) จะเป็นผู้จ่ายค่า Premium ให้กับ “ผู้ขาย” (Short Position) เพื่อแลกกับการได้ “สิทธิ” มาครอบครอง ส่วนผู้ขายจะได้รับค่า Premium เป็นรายรับทันที แต่ก็ต้องแบกรับ “ภาระผูกพัน” หากผู้ซื้อมาใช้สิทธิ

ถ้าซื้อ Option แล้วคาดการณ์ผิด จะเกิดอะไรขึ้น?

หากคุณเป็น “ผู้ซื้อ” Option (Long Call หรือ Long Put) แล้วคาดการณ์ผิด สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือคุณจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดที่จ่ายเป็นค่า Premium ไป 100% แต่การขาดทุนของคุณจะจำกัดอยู่แค่จำนวนนั้น ไม่บานปลายไปกว่านี้ เพราะคุณสามารถเลือกที่จะไม่ใช้สิทธิได้

Long Call Option กับ Short Call Option คืออะไร?

ทั้งสองสถานะเกี่ยวข้องกับ Call Option แต่มีบทบาทตรงกันข้าม:

  • Long Call: คือการ “ซื้อ” Call Option โดยคาดหวังว่าราคาจะขึ้น มีสิทธิในการซื้อ ขาดทุนจำกัด กำไรไม่จำกัด
  • Short Call: คือการ “ขาย” Call Option โดยคาดหวังว่าราคาจะไม่ขึ้น (ลงหรือทรงตัว) มีภาระผูกพันในการขายหากถูกใช้สิทธิ กำไรจำกัด (แค่ค่า Premium) แต่ขาดทุนไม่จำกัด

มือใหม่ควรเริ่มเทรด Option อย่างไร?

สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาข้อมูลพื้นฐานให้เข้าใจอย่างถ่องแท้จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือ SET investnow จากนั้นควรเริ่มจากการซื้อ Call หรือ Put Option (Long Position) ก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จำกัดกว่าฝั่งขาย และอาจทดลองใช้บัญชีจำลอง (Demo Account) ที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีให้บริการ เช่น Moneta Markets เพื่อฝึกฝนกลยุทธ์โดยไม่ต้องใช้เงินจริง

การเทรด Option มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

ความเสี่ยงหลักๆ ได้แก่: 1) ความเสี่ยงด้านราคา: หากราคาไม่เคลื่อนไหวตามที่คาดการณ์ 2) ความเสี่ยงด้านเวลา (Time Decay): มูลค่าของ Option จะลดลงเรื่อยๆ เมื่อใกล้หมดอายุ 3) ความเสี่ยงจากการขาดทุนไม่จำกัด: สำหรับผู้ขาย Option (Short Position) หากคาดการณ์ผิดพลาดอย่างรุนแรง 4) ความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์: ราคา Option ถูกกระทบจากหลายปัจจัยซึ่งต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึก

เราจำเป็นต้องมีหุ้นตัวนั้นจริงๆ หรือไม่ ถึงจะซื้อ Call/Put Option ได้?

ไม่จำเป็นครับ คุณสามารถซื้อขาย Option ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิงนั้นจริงๆ การซื้อขายลักษณะนี้เรียกว่า Naked Option ซึ่งเป็นการเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคา Option โดยตรง อย่างไรก็ตาม การซื้อ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging) จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อคุณถือครองสินทรัพย์อ้างอิงนั้นอยู่ด้วย

Strike Price ควรเลือกอย่างไร?

การเลือก Strike Price ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยทั่วไปมี 3 แบบหลักๆ:

  • In-the-Money (ITM): มีโอกาสทำกำไรสูง แต่ค่า Premium จะแพง
  • At-the-Money (ATM): ราคาใช้สิทธิใกล้เคียงกับราคาตลาดปัจจุบัน มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงราคาสูง
  • Out-of-the-Money (OTM): มีค่า Premium ถูกที่สุด แต่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงจึงจะทำกำไรได้ เหมาะกับการเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงสูง

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *