CFD คืออะไร? ทำความเข้าใจสัญญาซื้อขายส่วนต่างอย่างละเอียด
สัญญาซื้อขายส่วนต่าง หรือที่รู้จักกันในชื่อ CFD (Contract for Difference) ถือเป็นเครื่องมือทางการเงินประเภทอนุพันธ์ที่กำลังได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย ด้วย CFD นักลงทุนสามารถเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สกุลเงิน ดัชนีตลาด หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์จริง สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือการทำสัญญาระหว่างคู่สัญญาเพื่อแลกเปลี่ยนส่วนต่างของราคาตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดของสัญญา ซึ่งช่วยให้การลงทุนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น

คำจำกัดความของ CFD (Contract for Difference)
CFDs คือข้อตกลงระหว่างนักลงทุนกับโบรกเกอร์ โดยมุ่งเน้นที่การแลกเปลี่ยนส่วนต่างของราคาสินทรัพย์อ้างอิงระหว่างเวลาที่เปิดสัญญาและเวลาที่ปิดสัญญา ถ้าราคาสินทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้น นักลงทุนฝั่งซื้อจะได้รับส่วนต่างนั้นจากฝั่งขาย แต่ถ้าราคาตก นักลงทุนฝั่งซื้อต้องชำระส่วนต่างให้ฝั่งขาย นี่คือเหตุผลที่ทำให้ CFD เป็นเครื่องมือที่ปรับตัวได้ดี สามารถสร้างกำไรได้ทั้งในช่วงตลาดปรับตัวขึ้นด้วยการซื้อ หรือในช่วงตลาดปรับตัวลงด้วยการขายชอร์ต โดยอาศัยหลักการทำงานของผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ตามที่อธิบายไว้ในกลไกการทำงานของอนุพันธ์ ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงการถือสินทรัพย์จริงแต่ยังคงได้ประโยชน์จากความเคลื่อนไหวของตลาด

CFDs แตกต่างจากการซื้อขายสินทรัพย์จริงอย่างไร?
สิ่งที่ทำให้ CFD แตกต่างจากวิธีการซื้อขายสินทรัพย์จริง เช่น การซื้อหุ้นโดยตรง คือ นักลงทุนไม่ได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าของสินทรัพย์อ้างอิง แต่เน้นไปที่การคาดการณ์ทิศทางราคาเท่านั้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายด้าน เช่น
- การเป็นเจ้าของ: การซื้อหุ้นจริงหมายถึงคุณเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทนั้น แต่การเทรด CFD บนหุ้น คุณเพียงเก็งกำไรจากราคาโดยไม่ต้องถือหุ้นจริง
- การใช้เลเวอเรจ: CFD มักมาพร้อมเลเวอเรจที่สูงกว่า ทำให้เริ่มต้นด้วยเงินทุนน้อย แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงตามไปด้วย
- ต้นทุนการทำธุรกรรม: โดยปกติ CFD มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า เช่น ไม่มีค่าธรรมเนียมแสตมป์หรือค่าซื้อขายที่ยุ่งยากเท่ากับการถือสินทรัพย์จริง
- สิทธิประโยชน์: ผู้ถือหุ้นจริงอาจได้สิทธิ์ออกเสียงหรือเงินปันผล แต่ผู้เทรด CFD ไม่ได้รับโดยตรง ทว่าโบรกเกอร์บางรายอาจปรับเครดิตเงินปันผลให้ในบัญชี เพื่อชดเชยส่วนต่างนี้
จากมุมมองเหล่านี้ CFD จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความคล่องตัว โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการถือครองยาวนาน

กลไกการทำงานของ CFD: เลเวอเรจและมาร์จิ้น
เพื่อให้เข้าใจ CFD อย่างถ่องแท้ การรู้จักเลเวอเรจและมาร์จิ้นถือเป็นกุญแจสำคัญ เพราะทั้งสองส่วนนี้ช่วยกำหนดว่าคุณจะควบคุมการลงทุนขนาดไหนด้วยเงินทุนที่มีจำกัด และจัดการความเสี่ยงได้อย่างไร โดยเฉพาะในตลาดที่ผันผวน
เลเวอเรจ (Leverage)
เลเวอเรจคือกลไกที่ช่วยให้นักลงทุนเปิดตำแหน่งซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนจริงที่นำมาใช้ เหมือนกับการกู้ยืมจากโบรกเกอร์เพื่อขยายโอกาสทำกำไร เช่น ถ้าโบรกเกอร์ให้เลเวอเรจ 1:100 ด้วยทุน 1,000 บาท คุณสามารถควบคุมสินทรัพย์มูลค่า 100,000 บาทได้ นี่คือจุดที่เลเวอเรจขยายทั้งกำไรและขาดทุน ทำให้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังแต่ต้องระวัง โดยเฉพาะนักลงทุนไทยที่เพิ่งเริ่มต้นและอาจยังไม่ชินกับความผันผวน เช่น ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ราคาเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
มาร์จิ้น (Margin)
มาร์จิ้นคือส่วนของทุนที่ต้องฝากไว้เป็นหลักประกันสำหรับการเปิดและถือตำแหน่งที่ใช้เลเวอเรจ มันไม่ใช่ค่าธรรมเนียม แต่เป็นเงินที่ถูกแช่แข็งในบัญชีเพื่อรับมือความเสี่ยง ถ้าตำแหน่งเคลื่อนไหวผิดทิศทาง มาร์จิ้นที่ต้องการอาจเพิ่มขึ้น ถ้าทุนในบัญชีต่ำกว่าระดับที่กำหนด อาจเกิด margin call ที่ขอให้เติมเงิน หรือ stop out ที่โบรกเกอร์ปิดตำแหน่งอัตโนมัติเพื่อป้องกันขาดทุนเกินตัว การคำนวณมาร์จิ้นให้ดีจึงช่วยบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนักลงทุนควรติดตามระดับเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
ข้อดีและข้อเสียของการเทรด CFD
เหมือนเครื่องมือทางการเงินอื่นๆ CFD มีจุดเด่นที่ดึงดูดใจ แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่ต้องชั่งน้ำหนักให้ดี โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่มองหาความยืดหยุ่นในตลาดโลก
ข้อดีของการเทรด CFD
ข้อดี | คำอธิบาย |
---|---|
ความยืดหยุ่นในการทำกำไร | สามารถสร้างกำไรได้ทั้งในตลาดที่ราคาขึ้นด้วยการเปิด long หรือตลาดที่ราคาลงด้วยการ short โดยคาดการณ์ทิศทางราคาได้อย่างอิสระ |
การใช้เลเวอเรจ | ช่วยให้ควบคุมตำแหน่งใหญ่ด้วยทุนเริ่มต้นน้อย เพิ่มโอกาสผลตอบแทนสูง โดยไม่ต้องลงทุนเต็มจำนวน |
ความหลากหลายของสินทรัพย์ | เข้าถึงตลาดทั่วโลกจากแพลตฟอร์มเดียว เช่น ฟอเร็กซ์ หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ และคริปโต ทำให้กระจายพอร์ตได้ง่าย |
สภาพคล่องสูง | ตลาด CFD มีสภาพคล่องดี เปิดปิดตำแหน่งได้รวดเร็ว โดยไม่ติดปัญหาการซื้อขายล่าช้า |
ต้นทุนการซื้อขายต่ำ | มีสเปรดที่แข่งขันได้ และมักไม่มีค่าคอมมิชชั่นซับซ้อนเท่าการเทรดสินทรัพย์จริง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย |
ข้อเสียและความเสี่ยงที่สำคัญของ CFD
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่การเทรด CFD ก็มีความเสี่ยงที่นักลงทุนไทย โดยเฉพาะมือใหม่ ต้องตระหนักให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น
- ความเสี่ยงจากเลเวอเรจสูง: แม้ช่วยเพิ่มกำไร แต่ถ้าตลาดสวนทาง ขาดทุนจะขยายใหญ่เช่นกัน อาจทำให้ทุนหมดเร็วและเกินทุนเริ่มต้น
- ค่าธรรมเนียมข้ามคืน (Overnight Fee/Swap): ถ้าถือตำแหน่งค้างคืน อาจต้องจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งสะสมได้มากถ้าถือยาว
- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและ Slippage: ในช่วงตลาดผันผวนหรือมีข่าวใหญ่ ราคาจริงอาจต่างจากที่ตั้งไว้ ทำให้ขาดทุนไม่คาดคิด
- ความเสี่ยงจากโบรกเกอร์: ถ้าเลือกโบรกเกอร์ที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยทุนหรือการซื้อขายไม่เป็นธรรม
- ความซับซ้อน: CFD ต้องใช้ความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับตลาดและเครื่องมือ จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ขาดประสบการณ์
จากข้อมูลของหน่วยงานกำกับดูแลในยุโรป พบว่านักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ขาดทุนจาก CFD ตามที่ระบุไว้ ดังนั้น การศึกษาอย่างละเอียดก่อนลงทุนจึงจำเป็นมาก
CFDs สามารถเทรดสินทรัพย์ใดได้บ้าง?
หนึ่งในเสน่ห์ของ CFD คือการเข้าถึงสินทรัพย์หลากหลายจากทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งช่วยให้นักลงทุนปรับกลยุทธ์ได้ตามสถานการณ์ตลาด โดยสามารถเลือกเทรดได้ดังนี้
- ฟอเร็กซ์ (Forex): คู่สกุลเงินหลักอย่าง EUR/USD, GBP/JPY หรือคู่รองอื่นๆ ที่เคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง
- สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): อย่างโลหะมีค่าเช่นทองคำ เงิน พลังงานเช่นน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ หรือสินค้าเกษตรเช่นข้าวโพด ถั่วเหลือง
- ดัชนี (Indices): ดัชนีหลักๆ เช่น S&P 500 ของสหรัฐฯ FTSE 100 ของอังกฤษ DAX 30 ของเยอรมนี หรือแม้แต่ SET50 ของไทย ถ้าโบรกเกอร์รองรับ
- หุ้น (Stocks): หุ้นบริษัทชั้นนำทั่วโลก เช่น Apple, Google, Tesla ที่ช่วยเก็งกำไรจากข่าวบริษัท
- คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency): สกุลเงินดิจิทัลยอดฮิตอย่าง Bitcoin, Ethereum, Ripple ซึ่งมีความผันผวนสูง
ความหลากหลายนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสทำกำไร แต่ยังช่วยกระจายความเสี่ยง โดยนักลงทุนสามารถผสมผสานสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างพอร์ตที่สมดุล
การบริหารความเสี่ยงในการเทรด CFD: กลยุทธ์ที่นักลงทุนไทยควรรู้
เนื่องจากเลเวอเรจที่สูง การจัดการความเสี่ยงจึงเป็นหัวใจหลักของการเทรด CFD สำหรับนักลงทุนไทย การมีกลยุทธ์ชัดเจนจะช่วยปกป้องทุนและเพิ่มโอกาสอยู่รอดในตลาดระยะยาว โดยเริ่มจากพื้นฐานสำคัญ
- กำหนด Stop Loss และ Take Profit:
- Stop Loss (หยุดขาดทุน): กำหนดจุดปิดตำแหน่งอัตโนมัติถ้าราคาเคลื่อนไหวผิดทาง เพื่อจำกัดขาดทุนไม่ให้ลุกลาม เช่น ถ้าซื้อที่ 100 บาท ตั้ง stop loss ที่ 95 บาท
- Take Profit (ทำกำไร): กำหนดจุดปิดเพื่อล็อกกำไรเมื่อถึงเป้า เช่น ถ้าคาดกำไร 10% ตั้ง take profit ที่ 110 บาท ช่วยให้ไม่โลภเกินไป
- การจัดการเงินทุน (Money Management): กำหนดขนาดตำแหน่งให้เหมาะสม ไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ของทุนทั้งหมดต่อเทรด แม้ทุนน้อยก็เริ่มเล็กๆ เพื่อสร้างวินัย
- หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจที่สูงเกินไป: สำหรับมือใหม่ เริ่มที่ 1:10 หรือต่ำกว่า แล้วค่อยเพิ่มเมื่อชำนาญ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวน
- ใช้บัญชีทดลอง (Demo Account): ฝึกในสภาพแวดล้อมจริงแต่ไร้ความเสี่ยง ช่วยเรียนรู้แพลตฟอร์ม ทดสอบกลยุทธ์ และปรับตัวกับตลาด
- ติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ตลาด: เข้าใจปัจจัยอย่างข่าวเศรษฐกิจ นโยบายธนาคารกลาง หรือเหตุการณ์โลก ที่กระทบราคา เพื่อตัดสินใจมีข้อมูล
- วางแผนการเทรด: มีแผนชัดเจนเรื่องจุดเข้า-ออก กำไร-ขาดทุน และยึดมั่นโดยไม่ให้อารมณ์มาควบคุม เช่น หลีกเลี่ยงการ revenge trading หลังขาดทุน
ด้วยวินัยเหล่านี้ นักลงทุนไทยจะสามารถนำทางตลาด CFD ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะในสภาวะตลาดเอเชียที่อาจได้รับอิทธิพลจากภูมิภาค
เริ่มต้นเทรด CFD ในประเทศไทย: คำแนะนำสำหรับมือใหม่
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนไทยที่อยากลองเทรด CFD การเริ่มต้นอย่างถูกต้องจะช่วยลดอุปสรรคและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ โดยแบ่งเป็นขั้นตอนหลักๆ ดังนี้
เลือกโบรกเกอร์ CFD ที่เชื่อถือได้และมีใบอนุญาต
เนื่องจาก CFD ยังไม่ได้รับการกำกับดูแลโดยตรงจาก ก.ล.ต. ไทย การเลือกโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานน่าเชื่อถือ เช่น FCA ในอังกฤษ CySEC ในไซปรัส หรือ ASIC ในออสเตรเลีย จึงสำคัญมาก เพื่อความปลอดภัยของทุน
ในการเลือก ควรพิจารณา:
- การกำกับดูแล: ตรวจสอบใบอนุญาตและประวัติหน่วยงาน
- แพลตฟอร์มเทรด: ส่วนใหญ่ใช้ MT4 หรือ MT5 ที่มีเครื่องมือวิเคราะห์ครบ
- สเปรดและค่าคอมมิชชั่น: เปรียบเทียบเพื่อหาต้นทุนต่ำ
- สินทรัพย์ที่เสนอ: ดูว่ามีตัวเลือกที่สนใจหรือไม่
- บริการลูกค้า: ควรมีภาษาไทยและช่องทางฝาก-ถอนสะดวกสำหรับคนไทย เช่น ธนาคารท้องถิ่น
เปิดบัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกฝน
ก่อนใช้เงินจริง ควรฝึกกับบัญชีทดลองเพื่อสร้างพื้นฐานแข็งแกร่ง บัญชีนี้จำลองตลาดจริง ช่วยให้:
- คุ้นเคยกับอินเตอร์เฟซและฟีเจอร์ต่างๆ
- ทดสอบกลยุทธ์โดยไม่เสียเงิน
- เรียนรู้การจัดการออร์เดอร์
- สังเกตปฏิกิริยาตลาดต่อข่าวและเหตุการณ์
แนะนำฝึกอย่างน้อย 1-3 เดือน เพื่อสร้างความมั่นใจและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดพื้นฐานเมื่อเทรดจริง
ทำความเข้าใจกฎระเบียบและภาษีที่เกี่ยวข้องในไทย (โดยย่อ)
แม้ไม่มีกฎเฉพาะสำหรับ CFD ในไทย แต่กำไรจากการเทรดกับโบรกเกอร์ต่างประเทศยังถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร อาจต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 40(4) หรือ 40(8) ขึ้นกับประเภทรายได้ แนะนำปรึกษานักบัญชีหรือดูข้อมูลจากกรมสรรพากร เพื่อวางแผนภาษีให้ถูกต้องและหลีกเลี่ยงปัญหาในภายหลัง
CFDs กับ CFD Simulation: ความแตกต่างที่ควรทราบ
คำว่า CFD อาจทำให้สับสนเพราะใช้ในหลายสาขา โดยเฉพาะมือใหม่ที่ค้นหาข้อมูล
- CFDs (Contract for Difference) ในด้านการเงิน: หมายถึงสัญญาซื้อขายส่วนต่างที่บทความนี้กล่าวถึง ซึ่งเป็นเครื่องมือลงทุน
- CFDs (Computational Fluid Dynamics) Simulation ในด้านวิศวกรรม: หมายถึงการจำลองพลศาสตร์ของไหลด้วยวิธีคำนวณ ซึ่งใช้ในกลศาสตร์ของไหลเพื่อวิเคราะห์การไหลของของเหลว และไม่เกี่ยวข้องกับการเงินเลย
การแยกแยะชัดเจนจะช่วยให้โฟกัสข้อมูลที่ถูกต้อง โดยไม่เสียเวลากับเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้อง
สรุป: CFDs เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังแต่มีความเสี่ยงสูง
CFDs คือเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการลงทุน แต่ต้องระวังความเสี่ยงที่ตามมา การเข้าใจกลไกอย่างเลเวอเรจและมาร์จิ้น การชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย การจัดการความเสี่ยงด้วยวินัย และการเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ ล้วนกำหนดความสำเร็จ สำหรับนักลงทุนไทย การอ่านข้อมูลลึก การฝึกในบัญชีทดลอง และขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ จะช่วยใช้ CFD อย่างชาญฉลาด ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสทำกำไรในตลาดโลก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ CFD ในประเทศไทย (FAQ)
CFDs คืออะไร และทำไมถึงเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนไทย?
CFDs (Contract for Difference) คือสัญญาซื้อขายส่วนต่างที่ช่วยเก็งกำไรจากความเคลื่อนไหวราคาสินทรัพย์โดยไม่ต้องถือสินทรัพย์จริง มันได้รับความนิยมในไทยเพราะยืดหยุ่น สร้างกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง มีเลเวอเรจสูง และเข้าถึงตลาดหลากหลายจากที่เดียว
การเทรด CFDs ในประเทศไทยถูกกฎหมายหรือไม่ และต้องเสียภาษีอย่างไร?
ไทยยังไม่มีกฎเฉพาะกำกับ CFDs โดยตรง แต่การเทรดกับโบรกเกอร์ต่างประเทศไม่ผิดกฎหมาย กำไรที่ได้ถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามที่กรมสรรพากรกำหนด ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อความแม่นยำ
เลเวอเรจ (Leverage) ใน CFDs คืออะไร และควรใช้เท่าไหร่เพื่อลดความเสี่ยง?
เลเวอเรจช่วยควบคุมตำแหน่งใหญ่กว่าทุนจริง เพิ่มโอกาสกำไรแต่ก็เสี่ยงขาดทุน สำหรับมือใหม่ เริ่มที่ 1:10 หรือ 1:20 แล้วค่อยเพิ่มเมื่อชำนาญ เพื่อควบคุมความเสี่ยง
CFDs แตกต่างจากหุ้นหรือ Forex อย่างไร และเหมาะกับนักลงทุนประเภทไหน?
CFDs เป็นอนุพันธ์ที่เก็งกำไรจากราคาสินทรัพย์อ้างอิง เช่นหุ้นหรือ Forex แต่ไม่ถือสินทรัพย์จริง ต่างจากซื้อหุ้นที่ได้เป็นเจ้าของ หรือเทรด Forex ที่เน้นคู่เงิน CFDs เหมาะกับผู้ที่ชอบความยืดหยุ่น ใช้เลเวอเรจ และรับความเสี่ยงสูงได้
โบรกเกอร์ CFDs เจ้าไหนน่าเชื่อถือและได้รับใบอนุญาตที่เหมาะสมสำหรับการเทรดในไทย?
ไม่มีโบรกเกอร์ CFDs ที่ได้ใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. ไทยโดยตรง จึงเลือกโบรกเกอร์ต่างประเทศที่กำกับโดย FCA (สหราชอาณาจักร), ASIC (ออสเตรเลีย) หรือ CySEC (ไซปรัส) ตรวจสอบใบอนุญาต ประวัติ และรีวิวผู้ใช้ให้ดี
มือใหม่ควรเริ่มต้นเทรด CFDs อย่างไร มีขั้นตอนแนะนำหรือไม่?
ขั้นตอนสำหรับมือใหม่:
- ศึกษาความรู้ CFDs และตลาดอย่างละเอียด
- เลือกโบรกเกอร์น่าเชื่อถือ
- เปิดบัญชีทดลองเพื่อฝึกและคุ้นเคยแพลตฟอร์ม
- เริ่มด้วยทุนน้อยและเลเวอเรจต่ำ
- ตั้งกลยุทธ์บริหารความเสี่ยง เช่น Stop Loss และ Take Profit
- ติดตามข่าวและพัฒนาทักษะวิเคราะห์ต่อเนื่อง
มีกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงใดบ้างที่ช่วยให้นักลงทุน CFDs ในไทยลดการขาดทุน?
กลยุทธ์หลักคือตั้ง Stop Loss และ Take Profit ทุกเทรด จัดการเงินทุนไม่เกิน 1-2% ต่อครั้ง หลีกเลี่ยงเลเวอเรจสูง ใช้บัญชีทดลองฝึก และยึดแผนเทรดอย่างมีวินัย
CFDs คือการพนันใช่หรือไม่? และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ CFDs ที่พบบ่อยใน Pantip มีอะไรบ้าง?
CFDs ไม่ใช่การพนัน แต่เป็นเครื่องมือการเงินที่ใช้การวิเคราะห์และกลยุทธ์ ถ้าเทรดไร้แผนอาจกลายเป็นพนัน ความเข้าใจผิดใน Pantip มักเกี่ยวกับความเสี่ยงสูง การใช้เลเวอเรจผิด หรือเลือกโบรกเกอร์ไม่โปร่งใส
สินทรัพย์อะไรบ้างที่สามารถเทรดผ่าน CFDs ได้ และมีข้อจำกัดสำหรับนักลงทุนไทยหรือไม่?
เทรดได้หลากหลาย เช่น ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ น้ำมัน) ดัชนีหุ้น หุ้นรายตัว และคริปโต สำหรับนักลงทุนไทย ข้อจำกัดส่วนใหญ่ขึ้นกับโบรกเกอร์และกฎภายในของแต่ละราย
หากขาดทุนจากการเทรด CFDs เกินกว่าเงินทุนเริ่มต้น จะต้องรับผิดชอบอย่างไร?
ถ้าตลาดผันผวนรุนแรง อาจเกิดขาดทุนเกินทุน (Negative Balance) แต่โบรกเกอร์ที่ดีมักมี Negative Balance Protection เพื่อไม่ให้ติดลบเกินเงินฝาก ควรตรวจนโยบายโบรกเกอร์ก่อน