คำว่า Margin ใน Forex คืออะไร? ทำไมเทรดเดอร์ต้องรู้จักมัน

สารบัญ

มาร์จิ้นคืออะไร และทำไมเทรดเดอร์ทุกคนต้องเข้าใจให้ลึกซึ้ง

ในโลกของการเทรด โดยเฉพาะตลาดฟอเร็กซ์ (Forex) คำว่า มาร์จิ้น หรือ Margin ถือเป็นแนวคิดพื้นฐานที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ การเข้าใจมาร์จิ้นอย่างถ่องแท้คือกุญแจสำคัญในการบริหารความเสี่ยง และยังเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดว่าพอร์ตการลงทุนของคุณจะสามารถ “อยู่รอด” ได้นานแค่ไหนในตลาดที่ผันผวนไม่หยุดนิ่ง

พูดง่ายๆ มาร์จิ้นคือ เงินประกัน ที่คุณต้องวางไว้กับโบรกเกอร์เพื่อเปิดสถานะการซื้อขาย (Open Position) ซึ่งไม่ใช่ค่าคอมมิชชั่นหรือค่าธรรมเนียม แต่เป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนในบัญชีคุณที่ถูก “ล็อก” ไว้ชั่วคราว และจะค่อยๆ ปลดล็อกกลับมาเมื่อคุณปิดออเดอร์ ลองนึกภาพว่ามันเหมือนกับการวางเงินมัดจำเช่าบ้าน หากคุณไม่ทำลายทรัพย์สิน คุณจะได้รับเงินก้อนนั้นคืนเต็มจำนวนเมื่อหมดสัญญา แต่หากเกิดความเสียหาย จำนวนเงินมัดจำอาจถูกหักบางส่วนเพื่อชดใช้

มาร์จิ้นไม่ได้ทำงานเพียงลำพัง แต่มี “คู่หู” สำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องตลอดเวลา นั่นก็คือ เลเวอเรจ (Leverage) ทั้งสองอย่างนี้ทำงานเป็นทีมเดียวกัน โดยเลเวอเรจช่วยให้คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนจริงในบัญชี ขณะที่มาร์จิ้นคือจำนวนเงินที่คุณต้องใช้เพื่อสนับสนุนตำแหน่งนั้นภายใต้ระดับเลเวอเรจที่เลือก

  • เลเวอเรจสูง = ใช้มาร์จิ้นน้อยลงต่อหนึ่งหน่วย
  • เลเวอเรจต่ำ = ต้องใช้มาร์จิ้นมากขึ้นต่อหนึ่งหน่วย

ยกตัวอย่างเช่น คุณต้องการซื้อเงินสกุล EUR/USD จำนวน 1 Standard Lot ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่า 100,000 ยูโร

  • ที่เลเวอเรจ 1:100 คุณจะต้องใช้มาร์จิ้น = 100,000 / 100 = 1,000 ดอลลาร์
  • ที่เลเวอเรจ 1:500 คุณจะต้องใช้มาร์จิ้น = 100,000 / 500 = 200 ดอลลาร์

จะเห็นได้ว่า เลเวอเรจยิ่งสูง ยิ่งช่วยให้คุณเริ่มต้นด้วยเงินทุนน้อย แต่สิ่งนี้ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ เพราะทั้งกำไรและขาดทุนจะถูก “ขยาย” ตามไปด้วย ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คุณสูญเสียเงินทุนได้รวดเร็ว

illustration of a forex trader analyzing margin

มาร์จิ้นเลเวล ตัวชี้วัดที่บอกสุขภาพพอร์ตคุณได้แม่นยำที่สุด

ถ้ามาร์จิ้นคือเงินประกันที่คุณต้องวางไว้เพื่อเปิดออเดอร์ มาร์จิ้นเลเวล (Margin Level) คือสิ่งที่บอกคุณว่า พอร์ตของคุณกำลัง “แข็งแรง” หรือ “ใกล้ล้ม” อยู่ในขณะนี้ มันถูกแสดงเป็นค่าเปอร์เซ็นต์ และเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่าง “สินทรัพย์ปัจจุบัน” กับ “ภาระผูกพัน” ของคุณ

เทรดเดอร์จำนวนมากมักจับตาดูเฉพาะยอดเงินในบัญชี (Balance) หรือกำไรขาดทุนลอยตัว (Floating P/L) แต่ลืมมองไปที่มาร์จิ้นเลเวล ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยล่วงหน้าที่บอกว่าคุณกำลังเสี่ยงต่อการ “ล้างพอร์ต” หรือถูกบังคับปิดออเดอร์โดยอัตโนมัติหรือไม่

สูตรคำนวณมาร์จิ้นเลเวล พร้อมตัวอย่างจริง

มาร์จิ้นเลเวลถูกคำนวณด้วยสูตรมาตรฐานที่ทุกโบรกเกอร์ใช้เหมือนกันทั่วโลก นั่นคือ

Margin Level (%) = (Equity / Used Margin) × 100%

โดยแต่ละองค์ประกอบมีความหมายดังนี้:

  • Equity: มูลค่ารวมของบัญชีในปัจจุบัน คำนวณจากเงินฝาก (Balance) บวกหรือลบด้วยกำไร/ขาดทุนที่ยังไม่ปิด (Floating P/L)
  • Used Margin: รวมมาร์จิ้นทั้งหมดที่ถูกใช้ไปแล้วสำหรับออเดอร์ที่เปิดอยู่ทั้งหมด

ตัวอย่างการคำนวณ:

สมมติว่าคุณมีเงินในบัญชี (Balance) 2,000 ดอลลาร์ ใช้มาร์จิ้นไปทั้งหมด (Used Margin) 400 ดอลลาร์ และออเดอร์ที่เปิดอยู่กำลังขาดทุนลอยตัวอยู่ 200 ดอลลาร์

  1. คำนวณ Equity: 2,000 – 200 = 1,800 ดอลลาร์
  2. คำนวณ Margin Level: (1,800 / 400) × 100% = 450%

ในกรณีนี้ มาร์จิ้นเลเวลอยู่ที่ 450% ซึ่งถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย แต่ก็ควรเฝ้าระวังหากตลาดเริ่มผันผวนรุนแรง

concept of margin level in forex trading

อ่านมาร์จิ้นเลเวลให้ออก แยกแยะระดับความปลอดภัยได้ทันท่วงที

การตีความค่ามาร์จิ้นเลเวลเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝน เพราะมันช่วยให้คุณ “อ่าน” สภาพพอร์ตได้เร็วและตัดสินใจได้ทันท่วงที เราสามารถจำแนกระดับความเสี่ยงได้ดังนี้

ระดับมาร์จิ้นเลเวล (%) สถานะ คำอธิบาย
> 500% ปลอดภัยมาก พอร์ตแข็งแรงสูง รองรับความผันผวนได้ดี มี Free Margin เหลือมากสำหรับเปิดออเดอร์ใหม่
200% – 500% ปลอดภัย อยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ควรเฝ้าระวังหากตลาดผันผวนสูง
100% – 200% ควรระวัง ต้องเริ่มติดตามอย่างใกล้ชิด Free Margin เริ่มลดลง ควรพิจารณาปิดออเดอร์บางส่วนหรือลดขนาด Lot
< 100% อันตราย (เข้าใกล้ Margin Call) Equity น้อยกว่า Used Margin แล้ว ไม่สามารถเปิดออเดอร์ใหม่ได้ และมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกบังคับปิด

เมื่อมาร์จิ้นเลเวลต่ำกว่า 100% หมายความว่าคุณไม่มีสินทรัพย์เพียงพอที่จะรองรับมาร์จิ้นที่ใช้อยู่ ซึ่งเป็นสัญญาณ “แดง” ที่บอกว่าคุณอยู่ในพื้นที่อันตราย และอาจต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทุกเทรดเดอร์กลัว

Margin Call และ Stop Out: สองขั้นตอนสุดท้ายก่อนพอร์ตพัง

เมื่อมาร์จิ้นเลเวลลดลงจนถึงระดับวิกฤต โบรกเกอร์จะดำเนินการตามขั้นตอนมาตรฐานเพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีลูกค้าติดลบ โดยมีสองเหตุการณ์สำคัญตามลำดับ ซึ่งถือเป็นกลไกความปลอดภัยที่อธิบายไว้โดย Investopedia

1. Margin Call (การแจ้งเรียกมาร์จิ้นเพิ่ม)

นี่คือ “สัญญาณเตือน” ที่โบรกเกอร์ส่งมาเมื่อมาร์จิ้นเลเวลของคุณแตะระดับที่กำหนด เช่น 80% หรือ 100% ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละโบรกเกอร์ จุดประสงค์คือให้คุณตระหนักว่าพอร์ตกำลังเสี่ยง และควรดำเนินการดังต่อไปนี้

  • เติมเงินเข้าบัญชีเพื่อเพิ่ม Equity
  • ปิดออเดอร์ที่ขาดทุนเพื่อลด Used Margin และเพิ่ม Free Margin

2. Stop Out Level (การบังคับปิดออเดอร์อัตโนมัติ)

หากคุณไม่ตอบสนองต่อ Margin Call และราคายังเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางที่ทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้น เมื่อมาร์จิ้นเลเวลลดลงถึงระดับ Stop Out เช่น 50% หรือ 30% โบรกเกอร์จะเริ่ม บังคับปิดออเดอร์ ของคุณโดยอัตโนมัติ

โดยทั่วไป ระบบจะปิดออเดอร์ที่ขาดทุนมากที่สุดก่อน เพื่อพยายามฟื้นฟูสถานะบัญชีให้กลับมา กระบวนการนี้เรียกว่า Liquidation หรือในภาษาไทยคือ “ล้างพอร์ต” ซึ่งเป็นมาตรการสุดท้ายเพื่อป้องกันไม่ให้บัญชีของคุณติดลบหรือหมดไปทั้งหมด

ต้องเน้นย้ำว่า ระดับ Margin Call และ Stop Out อาจแตกต่างกันไปในแต่ละโบรกเกอร์ ดังนั้นเทรดเดอร์ควรศึกษาข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจใช้บริการ เช่น โบรกเกอร์ Moneta Markets ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมของนักเทรดในเอเชีย มีนโยบายมาร์จิ้นที่โปร่งใสและระบุชัดเจนในส่วน Trading Conditions บนเว็บไซต์ พร้อมให้ข้อมูลเกี่ยวกับเลเวอเรจสูงสุดถึง 1:500 สำหรับบัญชีมาตรฐาน และมีระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อมาร์จิ้นเลเวลต่ำเกินกำหนด

graphic showing margin call scenarios

ตัวอย่างจริง: วิถีทางจากพอร์ตแข็งแรงสู่การล้างพอร์ต (Step-by-Step)

เพื่อให้เข้าใจภาพรวม ลองติดตามสถานการณ์ของ “เทรดเดอร์ A” ที่มีเงินเริ่มต้น (Balance) 2,000 ดอลลาร์ ใช้เลเวอเรจ 1:500 โดยโบรกเกอร์ของเขากำหนดระดับ Margin Call ที่ 80% และ Stop Out ที่ 50%

ขั้นตอนที่ 1: เปิดออเดอร์ครั้งแรก

  • ตัดสินใจเปิด BUY คู่เงิน GBP/USD 1 Lot ที่ราคา 1.25000
  • Used Margin: (100,000 / 500) = 200 ดอลลาร์
  • Equity: 2,000 ดอลลาร์ (ยังไม่มีกำไร/ขาดทุน)
  • Free Margin: 2,000 – 200 = 1,800 ดอลลาร์
  • Margin Level เริ่มต้น: (2,000 / 200) × 100% = 1,000% (ปลอดภัยมาก)

ขั้นตอนที่ 2: ราคาเคลื่อนไหวสวนทาง

  • ราคา GBP/USD ไม่ขึ้น แต่ร่วงลงแรง 100 pips ไปอยู่ที่ 1.24000
  • Floating Loss: 100 pips × 10 ดอลลาร์ต่อ pip = –1,000 ดอลลาร์
  • Equity ใหม่: 2,000 – 1,000 = 1,000 ดอลลาร์
  • Margin Level ใหม่: (1,000 / 200) × 100% = 500% (ยังปลอดภัย แต่ลดลงอย่างชัดเจน)

ขั้นตอนที่ 3: ถึงจุด Margin Call (80%)

  • ราคาไม่หยุด ยังคงร่วงต่อเนื่องจนมาร์จิ้นเลเวลแตะ 80%
  • คำนวณค่า Equity ณ จุดนี้: 80% = (Equity / 200) × 100% → Equity = 160 ดอลลาร์
  • พอร์ตขาดทุนรวม: 2,000 – 160 = 1,840 ดอลลาร์
  • เทรดเดอร์ A ได้รับการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์

ขั้นตอนที่ 4: ถึงจุด Stop Out (50%)

  • ไม่มีการตอบสนอง ราคาลดลงอีกเล็กน้อย จนมาร์จิ้นเลเวลเหลือ 50%
  • Equity ณ จุดนี้: 50% = (Equity / 200) × 100% → Equity = 100 ดอลลาร์
  • ระบบบังคับปิดออเดอร์ทันที
  • สถานะหลัง Stop Out:
    • Used Margin: 0 ดอลลาร์
    • Balance/Equity ที่เหลือ: ~100 ดอลลาร์
    • เงินทุนสูญเสียไป: 1,900 ดอลลาร์

จากตัวอย่างนี้ แม้จะเริ่มต้นด้วยมาร์จิ้นเลเวลสูงถึง 1,000% แต่การขาดวินัยในการบริหารความเสี่ยงและการปล่อยให้ขาดทุนลุกลาม ก็เพียงพอที่จะทำลายพอร์ตได้ภายในไม่กี่นาที

กลยุทธ์บริหารมาร์จิ้นเลเวลเพื่ออยู่รอดในตลาดระยะยาว

การรู้จักมาร์จิ้นเลเวลคือก้าวแรก แต่การประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างหากที่ทำให้คุณเติบโตอย่างยั่งยืน เทรดเดอร์มืออาชีพใช้เทคนิคเหล่านี้ในการควบคุมมาร์จิ้นอย่างมีวินัย

  1. หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจสูงโดยไม่จำเป็น: แม้เลเวอเรจสูงจะช่วยประหยัดมาร์จิ้น แต่ก็เพิ่มแรงกระแทกของความผันผวน ควรเลือกให้เหมาะสมกับสไตล์และทุนของคุณ
  2. คำนวณขนาด Lot อย่างรอบคอบ: นี่คือหัวใจของ Money Management ทุกครั้งที่จะเปิดออเดอร์ ต้องมั่นใจว่าขนาดที่ใช้ไม่ทำให้ขาดทุนเกินกว่าที่พอร์ตจะรับไหว
  3. ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง: เป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการจำกัดความเสียหาย ช่วยให้คุณ “ยอมแพ้เล็กน้อย” เพื่ออยู่รอดในเกมต่อไป
  4. หลีกเลี่ยงการเปิดออเดอร์พร้อมกันมากเกินไป (Overtrade): การกระจายความเสี่ยงดี แต่ถ้าเปิดมากเกิน อาจทำให้ Used Margin พุ่งสูง และไม่มีพื้นที่รองรับความผันผวน
  5. ตรวจสอบมาร์จิ้นเลเวลอยู่เสมอ: โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือตลาดผันผวน การสังเกตตัวเลขนี้อาจช่วยชีวิตพอร์ตคุณได้ในวินาทีสุดท้าย

การจัดการมาร์จิ้นไม่ใช่แค่ทักษะ แต่เป็น “วินัย” ที่จำเป็นสำหรับการประสบความสำเร็จในระยะยาว ดังที่ CFTC (Commodity Futures Trading Commission) ของสหรัฐอเมริกาได้ย้ำว่า นักลงทุนรายย่อยต้องเข้าใจกลไกของมาร์จิ้นให้ลึกซึ้ง เพื่อป้องกันความสูญเสียที่อาจหลีกเลี่ยงได้

มาร์จิ้นเลเวลควรมีค่าเท่าไหร่ถึงจะปลอดภัยสำหรับมือใหม่?

สำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ ควรพยายามรักษามาร์จิ้นเลเวลให้สูงกว่า 1,000% เสมอ และไม่ควรปล่อยให้ต่ำกว่า 300% เป็นอันขาด ระดับที่สูงจะช่วยให้พอร์ตมี “พื้นที่หายใจ” เมื่อตลาดผันผวน และลดความเครียดในการติดตามออเดอร์

Free Margin คืออะไร และคำนวณอย่างไร?

Free Margin คือ เงินที่ยังสามารถใช้เปิดออเดอร์ใหม่ได้ หรือใช้รองรับการขาดทุนเพิ่มเติม คำนวณจาก Free Margin = Equity – Used Margin หาก Free Margin เหลือศูนย์หรือติดลบ คุณจะไม่สามารถเปิดออเดอร์ใหม่ได้

ถ้าได้รับ Margin Call แล้วไม่เติมเงินเพิ่ม จะเกิดอะไรขึ้นกับออเดอร์ของฉัน?

หากคุณไม่ดำเนินการใดๆ และตลาดยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่ทำให้ขาดทุนเพิ่ม มาร์จิ้นเลเวลจะลดลงเรื่อยๆ จนถึงระดับ Stop Out ซึ่งโบรกเกอร์จะเริ่มบังคับปิดออเดอร์ที่ขาดทุนมากที่สุดโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันบัญชีติดลบ

การใช้เลเวอเรจสูงๆ มีผลต่อมาร์จิ้นเลเวลอย่างไร?

เลเวอเรจไม่ได้เปลี่ยนสูตรคำนวณมาร์จิ้นเลเวลโดยตรง แต่มีผลทางอ้อมอย่างชัดเจน เลเวอเรจสูงทำให้ใช้ Used Margin น้อยลง ทำให้มาร์จิ้นเลเวลเริ่มต้นดูดี แต่ก็ทำให้กำไร/ขาดทุนต่อ pip เพิ่มขึ้น ทำให้ Equity และมาร์จิ้นเลเวลดิ่งลงเร็วหากตลาดเคลื่อนไหวสวนทาง

มาร์จิ้นในฟอเร็กซ์ กับมาร์จิ้นในตลาดหุ้น ต่างกันอย่างไร?

แนวคิดคล้ายกัน แต่รายละเอียดต่างกัน ฟอเร็กซ์ซึ่งเป็นตลาด OTC มักให้เลเวอเรจสูงและมีความยืดหยุ่นมากกว่า ในขณะที่ตลาดหุ้นมีกฎระเบียบเข้มงวด เช่น จาก FINRA ที่กำหนดหลักประกันขั้นต่ำและเงื่อนไขการกู้ยืมที่ชัดเจน

เราสามารถป้องกันการเกิด Stop Out ได้อย่างไรบ้าง?

วิธีที่ดีที่สุดคือการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย:

  • ใช้ขนาด Lot ที่เหมาะสมกับเงินทุน
  • ตั้ง Stop Loss ทุกครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการเปิดออเดอร์พร้อมกันมากเกินไป
  • รักษามาร์จิ้นเลเวลให้สูงอยู่เสมอ
  • หลีกเลี่ยงการถือออเดอร์ใหญ่ในช่วงข่าวใหญ่

ทำไมมาร์จิ้นเลเวลถึงสำคัญกว่า Balance หรือ Equity?

Balance บอกแค่ยอดเงินฝาก เริ่มต้น Equity บอกมูลค่าปัจจุบัน แต่มาร์จิ้นเลเวลบอก “ความสมดุล” ระหว่างสินทรัพย์กับภาระ มันจึงเป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงที่แท้จริง บัญชีที่มี Equity สูงแต่ Overtrade อาจมีมาร์จิ้นเลเวลต่ำและเสี่ยงกว่าบัญชีที่มี Equity น้อยแต่บริหารมาร์จิ้นได้ดี

โบรกเกอร์แต่ละแห่งมีระดับ Margin Call และ Stop Out เท่ากันหรือไม่ ควรตรวจสอบที่ไหน?

ไม่เท่ากันครับ แต่ละโบรกเกอร์มีนโยบายต่างกัน บางแห่งใช้ 100%/50% บางแห่งอาจใช้ 80%/30% หรือ 50%/20% คุณควรตรวจสอบข้อมูลนี้ในส่วน Trading Conditions บนเว็บไซต์โบรกเกอร์ หรือสอบถามฝ่ายบริการลูกค้า เช่น โบรกเกอร์ Moneta Markets ที่มีข้อมูลนี้ระบุชัดเจนในเอกสารเปิดเผยข้อมูล

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *